นายกฯ ติดตามสถานการณ์ค่าไฟฟ้าใกล้ชิด เร่งหาแนวทางช่วยเหลือประชาชน เชิญชวนยึดหลัก “ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน” ตามคำแนะนำของการไฟฟ้าฯ เพื่อช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าช่วงฤดูร้อน
21 เม.ย.2566 - นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์เรื่องค่าไฟฟ้าอย่างใกล้ชิด ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พยายามหาทางช่วยเหลืออยู่ เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ทั้งนี้ ตามที่ค่าไฟฟ้าของประชาชนในช่วงเดือนเมษายน 2566 สูงขึ้น ซึ่งการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ได้ชี้แจงยืนยันว่า เกิดจากเหตุอากาศที่ร้อนสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าเพิ่ม ไม่ได้เป็นการขึ้นค่าไฟฟ้า พร้อมกับมีข้อแนะนำการประหยัดไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน ด้วยการยึดหลัก “ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน”
นายอนุชา กล่าวว่า MEA ยืนยันว่า การคิดค่าไฟฟ้าในช่วงนี้ยังใช้หลักเกณฑ์วิธีการคิดค่าไฟฟ้าจากหน่วยการใช้ไฟฟ้าในอัตราตามที่นโยบายของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนด สำหรับสาเหตุที่ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นนั้น เนื่องจากช่วงนี้ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนจัดในบางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำความเย็นต้องทำงานมากขึ้นและใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น โดยจะเห็นได้จากค่าพลังความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Maximum Demand) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ล่าสุด มีค่าเท่ากับ 8,904.66 เมกะวัตต์ เกิดขึ้นในวันที่ 18 เมษายน 2566 ซึ่งค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด มักจะพบว่าอยู่ในช่วงฤดูร้อนทั้งสิ้น โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานมากขึ้นในช่วงฤดูร้อน คือ เครื่องปรับอากาศหรือแอร์
ยกตัวอย่างในสภาวะอากาศปกติ เช่น อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 30 องศาเซลเซียส หากปรับอุณหภูมิแอร์ในห้องที่ 26 องศา แอร์จะต้องทำงานเพื่อลดอุณหภูมิให้ได้ 4 องศาเซลเซียส แต่ในช่วงที่มีอากาศร้อนจัด เช่น อุณหภูมิภายนอก 40 องศาเซลเซียส หากตั้งอุณหภูมิแอร์ในห้องเท่าเดิมไว้ที่ 26 องศาเซลเซียส แอร์จะต้องทำงานเพื่อลดอุณหภูมิให้ได้ถึง 14 องศาเซลเซียล แอร์จึงทำงานหนักมากขึ้น และกินไฟมากกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องรักษาอุณหภูมิในสภาวะที่มีความร้อนจัดจากภายนอกรบกวน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ จากการทดสอบพบว่า อุณหภูมิภายนอกที่เพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส แอร์จะกินไฟเพิ่มขึ้นมากกว่า 3% ถึงแม้จะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในระยะเวลาเท่ากัน หรือปรับตั้งค่าอุณหภูมิเท่าเดิมก็ตาม ประกอบกับในช่วงอากาศร้อนพฤติกรรมการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่น ๆ เช่น การเปิดปิดตู้เย็นบ่อยครั้ง การประกอบอาหารด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการใช้น้ำอุปโภคบริโภคมากขึ้นทำให้ปั๊มน้ำทำงานมากขึ้น ทั้งหมดนี้ ล้วนทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
นายอนุชากล่าวต่อไปว่า MEA มีข้อแนะนำการประหยัดไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนคือ การยึดหลัก “ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน” โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมาอยู่ที่ระดับ 26-27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมควบคู่ จะเป็นการช่วยให้ประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ให้ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน เปลี่ยนไปใช้เครื่องปรับอากาศที่มีค่าประสิทธิภาพสูง และหมั่นล้างเครื่องปรับอากาศอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย ๆ ไม่ควรกักตุนอาหารไว้ในตู้เย็นเกินความจำเป็น ตรวจขอบยางประตูตู้เย็นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า (เบอร์ 5) ควรปิดสวิตช์และดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทุกครั้งเมื่อไม่ได้ใช้งาน
“ก่อนหน้านี้ กกพ. ได้รายงานสถิติปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีคไฟฟ้า ในระบบของ 3 การไฟฟ้า คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ในปีนี้ เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 32,963 เมกะวัตต์ เมื่อเวลา 20.52 น. ของวันที่ 6 เมษายน 2566 ด้วยอุณหภูมิ 31.2 องศาเซลเซียส เนื่องจากอุณหภูมิในประเทศไทยร้อนจัด ส่งผลให้แต่ละบ้านเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์ และพัดลมคลายร้อนพร้อม ๆ กัน จนทำให้เกิดไฟพีค แต่ยังไม่ทำลายสถิติพีคในระบบของประเทศที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2565 เวลา 22.36 น. ยอดพีคอยู่ที่ 32,254.5 เมกะวัตต์ที่อุณหภูมิ 32.0 องศาเซลเซียส โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ประเมินยอดพีคในระบบ 3 การไฟฟ้าปีนี้จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไม่ต่ำกว่า 34,000 เมกะวัตต์ หากรวมกับไฟฟ้าของเอกชนที่ผลิตเพื่อใช้เอง (ไอพีเอส) อีก 5,000 เมกะวัตต์แล้ว ความต้องการไฟฟ้าของประเทศในปีนี้อาจสูงถึง 39,000 เมกะวัตต์ รัฐบาลจึงเชิญชวนประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในทุกรูปแบบ เพื่อลดปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ และจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้ตัวเองและครอบครัวด้วย” นายอนุชา กล่าว
สำหรับหลักเกณฑ์วิธีการคิดค่าไฟฟ้าจากหน่วยการใช้ไฟฟ้าในอัตราตามที่นโยบายของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนด ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ https://www.mea.or.th/profile/109/111
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
MEA มอบปฏิทินปีใหม่ในรูปแบบอักษรเบรลล์ ให้แก่มูลนิธิคนตาบอดไทย
นายพิศณุ ตันติถาวร รองผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง พร้อมด้วยนางนิภา ธรรมบวร ผู้ช่วยผู้ว่าการ ผู้บริหาร และพนักงาน MEA ส่งมอบปฏิทินปีใหม่ประจำปี 2568 ที่ผลิตขึ้นในรูปแบบอักษรเบรลล์ ให้แก่
'โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ' แบตเตอรี่ยักษ์กักเก็บพลังงานสะอาด
ความท้าทายในการก้าวข้ามขีดจำกัดของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่กำลังมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในระบบไฟฟ้าเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ คือ การบริหารจัดการความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงบางช่วงเวลา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
'ลุงป้อม' เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ รับอวยพรปีใหม่
'ลุงป้อม' สดใส เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ รับอวยพรปีใหม่ ย้ำพระราชเสาวนีย์พระพันปีหลวง ปกป้องป่าให้ลูกหลาน ด้าน ผบ.เหล่าทัพ ทยอยอวยพร 3 ป. วานนี้
'โรงไฟฟ้า SMR' ตัวเปลี่ยนเกมพลังงานสะอาด
ภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและแรงกดดันจากมาตรการทางการค้าถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้ทั่วโลกพยายามดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
“สวนผักทางไฟ” พลิกพื้นที่แห้งแล้งใต้แนวสายส่งไฟฟ้าสู่แหล่งอาหารบ้านโนนยาง
“เคล” ราชินีแห่งผักใบเขียว หรือคะน้าใบหยิก ที่กำลังเตรียมตัดขายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เป็นภาพที่เกษตรกรบ้านโนนยาง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
'พีระพันธุ์' มอบของขวัญปีใหม่ลดค่าไฟ 3 สตางค์ต่อหน่วย!
'พีระพันธุ์' มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ลดค่าไฟลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย