20 มี.ค. 2566 – นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ยอดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) ของปี 2566 ช่วงหน้าร้อนนี้จะพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี หรือสูงกว่า 30,9 36 เมกะวัตต์ เนื่องจากไทยเปิดเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วย โดยกระทรวงพลังงานมั่นใจว่า ไทยมีไฟฟ้าเพียงพอรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะสำรองไฟฟ้าของไทยสูงถึง 30% จากปกติอยู่ที่ระดับ 15%
“จากการศึกษาข้อมูลพบว่า สำรองไฟฟ้าของไทยจะเริ่มลดลง หลังจากความต้องการใช้ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี)มากขึ้น และจะส่งผลให้สำรองไฟฟ้ากลับสู่ภาวะปกติที่ 15% ในปี 68 แต่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2566-2580 หรือพีดีพี 2023 ฉบับใหม่ที่กำลังจัดทำอยู่ จะยกเลิกการพิจารณาปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศ และเปลี่ยนเป็นการใช้เกณฑ์ดัชนีความเชื่อถือได้(LOLE) แทน จะวัดจากการยอมรับให้ไฟฟ้าดับได้กี่วันใน 1 ปี ถึงจะเหมาะกับไทยที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเข้าระบบมากขึ้น เพราะการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนมีข้อเสียตรงผลิตไฟฟ้าได้ไม่ต่อเนื่องขึ้นกับธรรมชาติในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้นระบบนี้จะมาช่วยตรวจวัดปริมาณไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อความมั่นคงไฟฟ้าประเทศได้ดีกว่า”นายวีรพัฒน์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2566-2580 (พีดีพี 2023) คาดว่า จะเสร็จกลางปี 66 นี้ โดยต้องผ่านขั้นตอนการเสนอคณะอนุกรรมการพีดีพี มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน จากนั้นจะเปิดรับฟังความเห็นประชาชนและเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบน.) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) พิจารณาเพื่อประกาศใช้ต่อไป เบื้องต้นจะบรรจุปริมาณการผลิตไฟฟ้าในระบบ 3 การไฟฟ้ามากกว่าแผนเดิมพีดีพี 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่มีอยู่ 77,211 เมกะวัตต์ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจะสูงขึ้น เพราะช่วงปลายของแผนฯ คาดว่า มีการใช้รถอีวีมากขึ้น และการใช้ไฟฟ้าในโครงการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)
นอกจากนี้ สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนจะสูงขึ้นอยู่ระดับ 50% ที่เหลือจะเป็นไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ต่ำกว่า 50% ลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ 60% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ รวมทั้งจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กบรรจุอยู่ในแผนด้วย ส่วนค่าไฟฟ้าจะพยายามให้เท่าแผนพีดีพี เดิมที่เฉลี่ยทั้งแผนอยู่ที่ 3.60 บาทต่อหน่วย ซึ่งการปรับเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้ เชื่อว่า จะกระทบต่อแผนพีดีพี 2023 บ้าง แต่ไม่มาก เนื่องจากได้จัดทำแผนบนข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบแล้ว และอยากให้รัฐบาลใหม่สนับสนุนแผนพีดีพี 2023 เพิ่มให้เริ่มใช้ได้ตามกำหนดในปี 66 นี้ หากรัฐบาลใหม่ต้องการปรับแก้ไขแผนพีดีพี 2023 คาดว่า จะต้องใช้เวลาเกือบ 1 ปี อาจจะล่าช้า และเริ่มใช้ได้ในปี 67 เป็นแผนพีดีพี 2024 แทนก็เป็นไปได้เช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พ่อนายกฯบอกคุยกันรู้เรื่องกับ 'พีระพันธุ์' ยังไม่ปรับครม.
“ทักษิณ” ลั่น ยังไม่มีเหตุปัจจัย ปรับครม. ชี้ ลูกสาวบอก พ่อ อิ๊งค์ ยังสบายๆ ทำงานกับครม.ชุดนี้ ไม่มีปัญหา สยบลือ ปรับ “พีระพันธุ์” ออกกลางคัน บอกรู้จักมานาน คุยกันรู้เรื่อง เดินหน้าทุบค่าไฟ เหลือ 3.70 ต่อหน่วย นายกฯ จ่อเรียกทุกฝ่ายคุย ให้เต็มใจยอมรับถูกรีดไขมัน
กสม.แนะแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินปชช. ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการขยายเหมืองแม่เมาะ
กสม. แนะกระทรวงพลังงานเร่งเสนอ ครม. แก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการขยายเหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
โบว์แดง 'รทสช.' ผสานกำลัง 2 กระทรวงปลดล็อก 'โซลาร์รูฟท็อป'
ไทยเดินหน้าพลังงานสะอาด “หิมาลัย” เผย “พีระพันธุ์-เอกนัฏ” ผสานกำลังปลดล็อก “โซลาร์รูฟท็อป” สำเร็จ เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงพรรค
กบง. สั่งตรึงราคา LPG ถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2568
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
'พีระพันธุ์' สั่ง ปตท. ระดมน้ำมัน-ก๊าซเข้าภาคใต้ป้องกันขาดแคลน
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ขณะนี้ กระทรวงพลังงานไม่ได้นิ่งนอนใจ และขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนที่ประสบเหตุอยู่ขณะนี้
เฮ!ลดค่าไฟ-ชงครม.แจกหมื่น
เฮ! ครม.สัญจรนัดแรก เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 2 “พีระพันธุ์” ประกาศหั่นค่าไฟลงเหลือ 4.15 บาท เป็นของขวัญปีใหม่