7 มี.ค. 2566 - ภญ.ณัฎฐพร บูรณะบุญวงศ์ กรรมการ บริษัท โกลวี่ สตาร์ จำกัด เปิดเผยว่า จากการทำเปลเด็ก Playpen จนในปัจจุบัน ทำให้บริษัทมีสินค้ารวมกว่า 130 รายการ และกว่า 30% ในจำนวนนี้คือคาร์ซีท ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยบริษัทไม่ได้คิดที่จะนำแบรนด์นอกเข้ามาขาย เนื่องจากคงทำอะไรกับเรื่องราคาไม่ได้มาก จึงมุ่งที่จะหาแหล่งผลิตแทน ซึ่งในยุคนั้นสินค้าเด็กในไทยยังไม่มีการบังคับใช้มาตรฐานอย่างเป็นรูปธรรม จึงตั้งหลักในการเลือกทำสินค้าไว้ 3 ข้อ คือ 1.สินค้าต้องผ่านมาตรฐานที่วัดได้แบบสากล 2. เมื่อมาตรฐานได้แล้วคุณภาพก็ต้องอยู่ในระดับที่ดีด้วย และ 3.ราคาที่เป็นโจทย์หลักมาตลอด ต้องการให้สินค้าเป็น Affordable Luxury คือต้องเข้าถึงได้ในราคาไม่แพง โดยมีการเลือกสรรผู้ผลิตที่ละเอียดอย่างมากทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสั่งสินค้าตัวอย่าง การไปตรวจดูโรงงาน-ดูเกณฑ์การทดสอบสินค้า รวมถึงทำการทดลองสินค้าด้วยตัวเอง
ปัจจุบัน โกลวี่มีแหล่งผลิตคาร์ซีทหลักอยู่ในประเทศจีน รวม 4 โรงงาน โดยแต่ละโรงงานมีจุดแข็งที่ต่างกันออกไป ทำให้บริษัทสามารถเลือกต่อยอดแต่ละจุดแข็งมาพัฒนาสินค้า เพื่อสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่สุด เช่น คาร์ซีทที่เป็นสินค้าหลักมีการรับรองด้วยมาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพของโรงงานผลิต ISO 9001 รวมถึงมาตรฐานเฉพาะของคาร์ซีทอย่าง ECE R44/04 และมาตรฐานใหม่ล่าสุดอย่าง ECE R129 (i-Size) ที่นับได้ว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในการรองรับกับกฎหมายคาร์ซีท
สำหรับมาตรฐานคาร์ซีทในประเทศไทย ปัจจุบันยังไม่เป็นมาตรฐานบังคับ มีเพียงมาตรฐานทั่วไป ซึ่งประกาศโดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) คือ มอก. 3187-2564 เรื่อง ระบบยึดเหนี่ยวผู้โดยสารเด็กขั้นสูง ENHANCED CHILD RESTRAINT SYSTEMS (ECRS) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่อ้างอิงมาจาก ECE R129 ในอนาคตน่าจะมีการประกาศมาตรฐานอื่น ๆ เพิ่มเติม ส่วนจะประกาศเป็นมาตรฐานบังคับหรือไม่นั้น ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา
“ถ้ามองจริง ๆ การคาดเข็มขัดนิรภัยบนรถจะช่วยเซฟอุบัติเหตุได้จากการคาดผ่านจุดปลอดภัยของร่างกาย ตรงกระดูกเชิงกราน-กระดูกไหปลาร้า แต่เวลาที่เด็กคาดเข็มขัดจะไปโดนหน้าโดนคอแทน จึงทำให้เกิดความจำเป็นที่ต้องยึดเหนี่ยวด้วยอุปกรณ์อื่นแทน ซึ่งก็คือคาร์ซีท และหลังจากที่กฎหมายคาร์ซีทเริ่มต้นใช้ในประเทศไทย เราก็ได้ผลักดันบริษัทในจุดนี้ด้วย ทั้งการผลิตสินค้าตามมาตรฐาน รองรับเด็กได้ถึงน้ำหนัก 36 กิโลกรัม หรือความสูง 150 เซนติเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับเด็ก 12 ขวบ และครอบคลุมตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเด็กโต รวมถึงมีการพยายามให้ความรู้ โดยทำกิจกรรมร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล” ภญ.ณัฎฐพร กล่าว
ทั้งนี้ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์คาร์ซีทที่มีสัดส่วนสินค้า 30% บริษัทยังมีสินค้าในกลุ่มของเตียงเด็ก รถเข็น เป้อุ้มเด็ก หมอนคนตั้งครรภ์ อุปกรณ์ให้นม และกลุ่มเครื่องมือแพทย์ Home Use ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน โดยสินค้าทั้งหมดมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในช่องทางออนไลน์บนมาร์เก็ตเพลส เช่น ลาซาด้า, ช้อปปี้ รวมถึงช่องทางออฟไลน์ ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ โดยในปี 2566 นี้ มีแผนจะสร้างการรับรู้ออกสู่ตลาดต่างประเทศ ด้วยการร่วมงานแสดงสินค้า “Kind + Jugend ASEAN 2023” ในวันที่ 5-8 เม.ย. 2566 นี้ ณ ไบเทค บางนา อีกด้วย
อย่างไรก็ดี เป้าหมายของบริษัทในปี 2566 มีแผนจะเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคาร์ซีท รถเข็น เตียงเด็ก รวมถึงกลุ่มเครื่องมือแพทย์ และตั้งเป้าให้บริษัทเติบโตในตลาดในประเทศซึ่งเป็นตลาดหลักไม่น้อยกว่า 10% จากยอดขายรวมเมื่อปี 2565 ที่ประมาณ 60 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทจะยังรักษาสัดส่วนยอดขายออนไลน์ให้คงที่ที่ 20% เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าต่อเนื่องอีกด้วย