“ศักดิ์สยาม” สั่ง รฟม.ตรวจสอบคำสั่งศาลละเอียดยิบ โครงการสายสีส้ม ระบุรัฐบาลรักษาการยังใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ กำชับฝ่ายกฎหมายตรวจสอบรายละเอียดมีการฟ้องร้องใดเกี่ยวกับการดำเนินการหรือไม่
2 มี.ค. 2566 – นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกฟ้อง ในคดีที่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด มหาชน (บีทีเอส) ยื่นฟ้อง คณะกรรมการคัดเลือก ตามมาตรา 36 แห่ง พรบ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ว่า ขณะได้สั่งการให้ รฟม.ทำเรื่องไปขอคัดคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุดอย่างเป็นทางการและนำมาตรวจว่าคำพิพากษาสั่งการให้ดำเนินการอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตามจากนั้นให้ รฟม. ตรวจสอบดูว่าสิ่งที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ถูกต้องและปฏิบัติตามขั้นตอนของพ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯครบถ้วนแล้ว ไม่มีประเด็นอะไรเพิ่มก็ให้แนบคำพิพากษาประกอบเรื่องมาที่กระทรวงคมนาคม จากนั้นทีมกฎหมายของกระทรวงฯ และทีมกฎหมายที่เป็นคณะทำงานของรัฐมนตรีจะใช้อำนาจหน้าที่พิจารณาตรวจสอบว่าสิ่งที่ดำเนินการครบถ้วนสมบูรณ์เป็นไปตามระเบียบกฎหมายหรือไม่ ถ้าครบถ้วนไม่มีปัญหาอะไรตนก็จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า โดยในเรื่องของคดีนั้นยังมีอีกหลายคดี รฟม.ต้องไปตรวจสอบว่ามีผลต่อการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่ หรือมีคดีใดที่เป็นประเด็นที่มีส่วนทำให้ขั้นตอนการดำเนินการตามพ.ร.บ.รัฐร่วมลงทุนฯ พ.ศ.2562 ไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งคดีมีหลายประเภทหากเป็นคดีที่ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องแยกออกไป เพื่อชี้ให้เห็นว่าไม่เกี่ยวข้อง เช่น การฟ้องตัวบุคคล เป็นต้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นประเด็นที่สังคมอาจไม่เข้าใจเรื่องพ.ร.บ.รัฐร่วมลงทุนฯว่าแตกต่างจากพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งบางคนเข้าใจว่าตนมีอำนาจตามมาตรา 72 ของพ.รบ.รัฐวิสาหกิจ สามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงได้ แต่เข้าไม่ได้เพราะเป็นกฎหมายคนละฉบับ และตนเคยอธิบายกับสภาผุ้แทนราษฎรแล้วว่ามี 5 ขั้นตอน ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ที่รฟม. หากดูแล้วว่าคำพิพากษาแสดงให้เห็นว่าทำถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมายหากไม่มีประเด็นใดแล้วก็ส่งมาที่กระทรวง
“ขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาเรื่องดังกล่าวยังไม่ส่งมาถึงกระทรวงคมนาคม ดังนั้นกระทรวงคมนาคมกับรมว.คมนาคมจึงยังไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เข้าไปดำเนินการอะไรในเรื่องดังกล่าวเลย ยังไม่รู้อะไรเลย ฟังจากข่าวเท่านั้น แล้วจะมาบอกว่าผมละเว้น ผมไม่ได้ละเว้นแต่ไม่มีอำนาจจริงๆ “นายศักดิ์สยาม กล่าวและว่ากรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคดียกเลิกคดีการประมูลครั้งแรกค้างอยู่ถือเป็นสาระสำคัญหรือไม่นั้น เรื่องนี้ต้องรอดูคำพิพากษาสุดท้าย ซึ่งตนยังไม่เห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้ครม.พิจารณาทันสมัยรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ตนยังตอบไม่ได้ แต่พยามยามทำตามขั้นตอนทุกอย่างให้รอบคอบที่สุดตามที่มีอำนาจ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการยุบสภา แต่หากยุบสภาแล้วอยู่ในช่วงของการรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นก็ปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจ ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า อะไรที่เป็นโครงการอยู่ในแผนงานอยู่แล้วสามารถดำเนินการได้ เช่น โครงการแผนงานปีงบประมาณ 2566 สามารถดำเนินการให้ครบตามกระบวนการได้ ซึ่งฝ่ายกฎหมายจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่ไม่ได้หมายความว่าประเทศชาติเมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการแล้วทุกอย่างจะฟรีซ(แช่แข็ง)หมดไม่ใช่อย่างนั้น
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า การดำเนินการต่อจากนี้หากจะไปต่อทุกอย่างต้องรอบคอบ อย่าให้เกิดข้อสงสัย หากสงสัยก็ต้องมีคำอธิบายตามหลักกฎหมายและข้อเท็จจริง หากใช่ก็เลิกสงสัยเพราะประเทศชาติเสียโอกาสกับข้อสงสัยเยอะมากแล้ว
นายศักดิ์สยาม ยังกล่าวถึงกรณีที่กระทรวงคมนาคมทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ขอให้ส่งหลักฐานเอกสารที่กล่าวหาว่ามีการทุจริตในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ในประเด็นเกี่ยวกับเงินทอนจากโครงการดังกล่าวจำนวน 30,000 ล้านบาท ที่มีจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่ประเทศสิงคโปร์ เข้าบัญชีธนาคาร HSBC ว่า เป็นการปฏิบัติตามหลักกฎหมาย ส่วนนายชูวิทย์จะส่งเอกสารหลักฐานมาให้กระทรวงคมนาคมหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของนายชูวิทย์ แต่หากไม่ส่งมาให้และครบเวลา 15 วันทางกระทรวงคมนาคมก็จะสรุปเรื่องว่านายชูวิทย์ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิ์ร้องตามกฎหมาย ส่วนกระทรวงจะดำเนินการอะไรต่อ หรือจะมีการฟ้องร้องหรือไม่นั้นให้รออีก12 วัน
ทั้งนี้หากนายชูวิทย์ส่งหลักฐานมาเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ก็จะให้ปลัดกระทรวงคมนาคมพิจารณา หากพบว่ามีมูลก็จะตั้งคณะกรรมสอบสวนข้อเท็จจริงตามขั้นตอน เพื่อจะได้จตรวจสอบให้ชัดเจน ดังนั้นขอเรียกร้องให้นายชูวิทย์นำหลักฐานมาแสดงอย่าเก็บไว้ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาเอง