ลลิล โชว์ผลประกอบการปี 65 กำไร 1,271 ล้านบาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้  ประกาศผลประกอบการปี 2565 มียอดรับรู้รายได้ทั้งปีที่ 6,239.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,271.46 ล้านบาทพร้อมประกาศจ่ายปันผลสำหรับปี 2565 รวม 0.64 บาท/หุ้น

27 ก.พ. 2566 – บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)  ประกาศผลประกอบการปี 2565 มียอดรับรู้รายได้ที่ 6,239.13 ล้านบาท ปรับลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 5.3%   ทั้งนี้บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี  แม้ในปี 2565 จะเป็นปีที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นทั่วโลก กระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง  โดยบริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไร โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูงกว่า 39%  ในขณะที่ยังคงบริหารจัดการค่าใช้จ่ายทั้ง ค่าใช้จ่ายในการขาย  ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ตลอดจนค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม  ส่งผลให้ในปี 2565 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 1,271.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 20.4%  โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น  พิจารณาจ่ายปันผลทั้งปีที่ 0.64 บาท/หุ้น

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2565 ว่าเป็นปีที่มีปัจจัยลบมากมายเกิดขึ้น   โลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์  การแย่งชิงความเป็นผู้นำโลกของประเทศมหาอำนาจ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน  ระดับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวขึ้น  ความเสี่ยงด้าน Supply Chain Disruption   อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก จนเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปี   ทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด  FED มีการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วและแรงจนอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 14 ปี   รวมถึงธนาคารกลางหลายประเทศที่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยตาม  จนอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทบต่อไปยังต้นทุนของภาคธุรกิจ และกำลังซื้อของภาคประชาชน   

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2565  ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่สดใสนัก  บริษัทฯ สามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 6,239.13 ล้านบาท ซึ่งปรับลดลงจากปีก่อนหน้า 5.3%   อย่างไรก็ดีในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อเร่งตัว  ราคาสินค้าต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้ดี  โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 39.1%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 33%   ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดรับรู้รายได้ (SG&A/Revenues) ในปี 2565 ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 10%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 15%   ในส่วนของต้นทุนการเงินบริษัทมีการออกหุ้นกู้ไปในช่วงต้นปีก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะเร่งตัวขึ้น  รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนอย่างเหมาะสม ทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินในระดับที่ต่ำ   ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,271.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 20.4% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 12%

สำหรับแผนการขยายธุรกิจในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถขยายเปิดโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท  และเตรียมขยายโครงการต่อเนื่องในปี 2566 นี้อีก 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท  โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับปี 2566 นี้ไว้อยู่ที่ 8,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท หรือขยายตัวราว 10%   ในส่วนสถานะทางการเงิน บริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม  มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง   โดย ณ สิ้นปี 2565 แม้บริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างมาก  แต่ยังคงมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า  และมีระดับหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio) เพียง 0.29 เท่า

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในการจัดสรรกำไรสำหรับปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับราว 7%   โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.305 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.335 บาทต่อหุ้น  โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2566 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2566) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตลาด mai เปิดกำไร บจ. ไตรมาส 1 รวมทะลุ 4.6 พันล้านบาท

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มียอดขายรวม 54,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.7% และ 6.4% ตามลำดับเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ บจ. มีความสามารถในการทำกำไรในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ดีขึ้น

เซ็นทรัล รีเทล โชว์รายได้ Q1 โกยรายได้ 6.7 หมื่นล้าน

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล เปิดปีโตต่อเนื่อง ด้วยผลประกอบการในไตรมาสแรก

OR เผยผลประกอบการไตรมาสแรก 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนในทุกกลุ่มธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ มุ่งสู่การเป็น Data-Driven Organization ควบคู่กับการสร้างอนาคตอย่างยั่งยืน

OR เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มี EBITDA จำนวน 6,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100% จากไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสุทธิ 3,723 ล้านบาท

IRPC กำไร 1,545 ล้านบาท รุกเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษใหม่ ตั้งเป้าขายน้ำมันดีเซลยูโร 5 เต็มสูบ

“IRPC” เผยกำไรไตรมาสแรก 1,545 ล้านบาท รุกเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษตามแผนกลยุทธ์ ตั้งเป้าไตรมาส 2/2567 ลุยขายน้ำมันดีเซลยูโร 5 รองรับความต้องการภายในประเทศที่สูงขึ้น