ส.อ.ท.เผยยอดผลิตรถยนต์ ม.ค.66 ยังโต 4.02% สวนทางยอดขายในประเทศ

ส.อ.ท.เผยยอดผลิตรถยนต์ม.ค.66 โต 4.02% สวนทางยอดขายในประเทศลดลง 5.58% เหตุขาดแคลนชิป พร้อมเกาะติดสถานการณ์โลกใกล้ชิด ลุ้นจีนเปิดประเทศ หนุนสภาพคล่องดี มั่นใจยอดผลิตรถยนต์ยังตามเป้า 1.95 ล้านคัน

22 ก.พ. 2566 – นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่ายอดการผลิตรถยนต์เดือนม.ค.2566 ผลิตได้ 157,844 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.02% จากการผลิตเพื่อส่งออก 91,532 คัน เพิ่มขึ้น 7.43% สอดคล้องกับการส่งออก 86,786 คัน เพิ่มขึ้น 24.28% ขณะที่ การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 66,312 คัน ลดลง 0.35% เช่นเดียวกับยอดขายในประเทศ 65,579 คัน ลดลง 5.58% เนื่องจากการขาดชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์(ชิป)ในรถยนต์บางรุ่น จึงผลิตรถยนต์บางรุ่นได้น้อยไม่พอส่งมอบให้ลูกค้า

“เราเริ่มกลับมาผลิตรถยนต์ได้เพิ่มขึ้น เพราะได้รับชิปดีต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนส.ค.2565 แต่ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะได้รับชิปแบบสมบูรณ์ได้เมื่อไหร่ จึงยากที่จะให้คำตอบถึงการส่งมอบรถกับลูกค้าถึงวันที่แน่นอนได้ ซึ่งส่วนหนึ่งยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่เรือบรรทุกรถยนต์(Ro-Ro) ขาดแคลนตั้งแต่เดือนพ.ย.2565 ต่อเนื่อง ดังนั้นยังคงต้องติดตามปัญหาการขาดแคลนชิปและและด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด”นายสุรพงษ์ กล่าว

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะถดถอยแต่จากการที่ได้รับชิปเพิ่มขึ้น จีนเปิดประเทศและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ส.อ.ท.ยังคงมั่นใจว่าการผลิตรถยนต์ปี 2566 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,950,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.53% แบ่งเป็นยอดผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน และเป็นยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 900,000 คัน

ส่วนปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งราคาอุปกรณ์ ค่าแรง รวมถึงค่าพลังงานสูงนั้น ผู้ผลิตหลายรายได้ทยอยปรับขึ้นราคาจำหน่ายรถยนต์บางรุ่นไปแล้วและปีนี้ก็อาจทยอยปรับเพิ่มขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ทางการตลาดของแต่ละค่ายและทิศทางพลังงานที่เริ่มมีแนวโน้มลดลง อาจทำให้การปรับไม่มากนักหรือไม่ปรับ แต่ใช้วิธีลดของแถมลง เป็นต้น

ในส่วนของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) จดทะเบียนใหม่(ป้ายแดง) ปี 2566 มีโอกาสเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 35,000-40,000 คัน เห็นได้จากยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเดือนม.ค.2566 ประเภทแบตเตอรี่(BEV) จดทะเบียนใหม่อยู่ที่ 4,707 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 649.52% ประเภทรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด(HEV) อยู่ที่ 7,687 คัน เพิ่มขึ้น 76.51% และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด(PHEV) 961 คัน เพิ่มขึ้น 33.10%