‘สภาพัฒน์’คาดจีดีพีไทยปี 66 ขยายตัว 3.2%

‘สภาพัฒน์’ เผยจีดีพีไทยปี 4/65 ขยายตัว 1.4% ขณะที่จีดีพีปี 65 ขยายตัวแค่ 2.6% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 3.2% ปรับจีดีพีปี 66 เหลือ3.2% สั่งจับตาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว พร้อมเสนอแนะ 8เรื่องให้ความสำคัญในปี66

17 ก.พ.2566-นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยถึงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่4ของปี 2565 และแนวโน้มปี 2566 ว่า การขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 4/2565 ขยายตัว 1.4% จีดีพีทั้งปี 2565 ขยายตัว 2.6% จากที่สภาพัฒน์เคยคาดไว้ที่ 3.2% เนื่องจากยังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวไม่ได้ตามเป้าหมายเนื่องจากภาคการส่งออกที่ปรับลดลงมากในไตรมาสสุดท้ายที่ภาคการส่งออกติดลบลงกว่า 10.5% จากผล กระทบของเศรษฐกิจโลก การบริโภคยังไม่ขยายตัวมากนัก ค่าตอบแทนแรงงานติดลบ -1.4%

ทั้งนี้คาดการณ์ว่า จีดีพีไทยในปี 2566 ขยายตัวช่วง 2.7-3.7% หรือเฉลี่ย 3.2% มีปัจจัยหลักจาก การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.2% การลงทุนขยายตัว 2.2%การส่งออกติดลบ -1.6 อัตราเงินเฟ้อ 2.5-3.5% นับว่าภาคการท่องเที่ยวยังเป็นตัวสนับสนุนหลักคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไหลเข้าไทย 28.5 ล้านคน จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศ การขยายตัวของการลงทุนภารรัฐและเอกชน การบริโภคของประชาชน เริ่มสูงขึ้น

สำหรับการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส 1.5% ปรับตัวดีขึ้นจารการลดลง 6.8 %ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการรขยายตัวของการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 10.3 %ขณะที่การลงทุน รัฐบาลลลดลง 2.2 %สสำอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ 18.6 %(ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่าย21.2 %ในไตรมานก่อนหน้าแต่สูงกว่า 17.2%ในช่วงเดียวกันของปีก่อน)

นายดนุชา กล่าวว่าแนะนำให้จับตาการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก และความผันผวนทางการเงินโลก ภาระหนี้สินภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยสูงขึ้น การเข้าสู่บรรยากาศ การเลือกตั้ง ต้องล้มรัฐบาลหลังเลือกตั้งรัฐบาลใหม่จะมีนโยบายฟื้นเศรษฐกิจไทยอย่างไร การเติมเงินในบัตรสวัสดิการฯ จะเป็นการเพิ่มแรงซื้อให้เศรษฐกิจ โดยขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังตรวจสอบและอนุมัติผู้มีสิทธิ์ เพื่อเตรียมโอนเงินรอบใหม่ให้หลังเสนอคณะรับมนตรี(ครม.)พิจารณา รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาภาระหนี้สินภาคครัวเรือน เดินหน้าส่งเสริมการลงทุนเอกชน การส่งทำตลาดส่งออกในเชิงรุก ทดแทนในบางประเทศมีปัญหาเศรษฐกิจ

สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2566 ควรให้ความสำคัญกับ 8 เรื่อง ได้แก่ 1.การดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินของลูกหนี้รายย่อย ทั้งหนี้สินในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)2.การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยการเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาด การสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่การผลิตของภาคการเกษตร การปรับโครงสร้างการผลิตและการขยายผลการทำเกษตรยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์

3.การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้าโดยการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก การส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ดี และการสร้างตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง การพัฒนาสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพและมาตรฐานตรงตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า

4.การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดยการแก้ไขปัญหาและเตรียมความพร้อมให้ภาคการท่องเที่ยวรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งการพิจารณามาตรการสินเชื่อและ มาตรการสนับสนุนอื่น ๆ ให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้ การส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูงและยั่งยืน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง และการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ

5.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2563 – 2565 ให้เกิดการลงทุนจริง โดยเฉพาะโครงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างประเทศเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานใน ภาคการผลิต การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ การขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญ และ การพัฒนากำลังแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้มข้น

6.การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐควบคู่ไปกับการเพิ่มพื้นที่ทางการคลังเพื่อรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะปานกลางและเพิ่มศักยภาพการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ 7. การติดตาม เฝ้าระวัง และประเมินสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก และ 8. การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นายกฯอิ๊งค์' เชื่อเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ตั้งเป้าจีดีพีโต 3%

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงานที่มีนโยบายต่างๆสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในปี 2568 งบประมาณจะเพิ่มขึ้น และมีการขาดดุลการคลังที่ลดลง ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี

Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ 'เวียดนาม' แล้ว 'ไทยจะทำอย่างไร'

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้  รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ "เวียดนาม" แล้ว "ไทยจะทำอย่างไร" เมื่อ "เวียดนาม" ขึ้นแท่น "ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน"

หอมกลิ่นความเจริญ! 'ทักษิณ' ประกาศปั้น GDP ประเทศไทยให้ถึง 4-5 %

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษหัวข้อ อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย ในงานสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับเครือมติชน

'สุดารัตน์' ถามนายกฯ เตรียมรับมือเศรษฐกิจปีหน้าหรือยัง ชี้แจกเงินหมื่นไม่ตอบโจทย์

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงเศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีปัญหาอยู่แล้ว คือหนี้ภาคครัวเรือนที่มีสูงถึง 92%

‘อนุสรณ์’ วิเคราะห์ ‘ทรัมป์2.0’ ไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ ศก. พึ่งพาตัวเองมากขึ้น

ทรัมป์ 2.0 ไทยต้องปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจหันพึ่งพาตัวเองมากขึ้น สินค้านอกข้อตกลงเอฟทีเอกระทบรุนแรง สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯรอบใหม่อาจนำไปสู่สงครามเย็นรอบใหม่ในไม่ช้า