
‘คลัง’ เร่งเครื่องสรุปบัตรคนจนรอบใหม่ เผยเหลือผู้ได้รับสิทธิ์ใกล้เคียงรอบก่อนที่ 13 ล้านคน จากผู้ลงทะเบียน 20 ล้านคน ฟุ้งเศรษฐกิจไทยโตสวนโลก ท่องเที่ยวหนุนเต็มพิกัด ด้าน “ธปท.” แจงทยอยขึ้นดอกเบี้ยให้เข้าสู่ระดับปกติ ชี้เรตห่างจากต่างประเทศ 3% ไม่ทำเงินทุนไหลออก เคาะจีดีพีปี 2566 โต 3.7%
15 ก.ย. 2566 – นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ ปี 2566 ในงาน Thailand Future Economic Forum 2023 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีเพียงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย แม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีกว่าที่คาด แต่ในช่วงไตรมาส 1/2566 ภาคการส่งออกในเชิงปริมาณหดตัว แต่มูลค่ายังแข่งขันได้เพราะเงินบาทอ่อนค่า
“ยืนยันว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวแต่เราไม่ชะลอด้วย โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มองว่าการขยายตัวเศรษฐกิจไทยยังโตเป็นบวกได้เพียงไม่กี่ประเทศ แต่สิ่งที่ต้องทำเพื่อสนับสนุนการส่งออกคือการมองหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดเพื่อนบ้านที่มีโอกาสเติบโตค่อยข้างสูง ในกลุ่มสินค้าเอสเอ็มอี” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการจัดทำงบประมาณ โดยต้องมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะถ้าลดลงหมายความว่ารัฐบาลไม่มีเงิน ซึ่งในปีงบประมาณ 2566-2567 งบประมาณยังมีการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะงบลงทุน ซึ่งจะมาจากการหารายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้ดุลการคลังติดลบน้อยลง โดยในปีงบประมาณ 2566 ขาดดุล 6.9 แสนล้านบาท ส่วนปี 2567 มีการขาดดุลลดลง 1.02 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงมา ก็จะช่วยลดการก่อหนี้สาธารณะลง
ทั้งนี้ หากมีการทำงบประมาณขาดดุลมาก ๆ เป็นเวลานาน ก็ต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 60.67% หากตามวินัยการคลังเดิมถือว่าเกินที่กฎหมายกำหนดไปแล้ว แต่ที่ผ่านมามีการปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะขึ้นอีก 10% เป็น 70% ทำให้มีช่องว่างการทำนโยบายเพื่อรองรับวิกฤต ดังนั้น ทรัพยากรของเราไม่มีปัญหา การก่อหนี้เพิ่มอีกก็ไม่กระทบวินัยการคลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะต้องกู้เพิ่มอีกจนเต็มเพดาน โดยหนี้ส่วนใหญ่กว่า 80% ก็เป็นการกู้เพื่อมาลงทุน ซึ่งจะมีผลตอบแทนในระยะยาว
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะได้รับขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว ที่ฟื้นตัวดีกว่าที่คาด รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศ ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการของรัฐ เช่น ช้อปดีมีคืน โดยการใช้จ่ายขยายตัวในระดับ 3-4% เป็นการขยายตัวในระดับที่เหมาะสม ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ก็ต้องดูภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงว่ามีเหตุการณ์ให้ต้องเตรียมตัวอย่างไร ที่สำคัญส่วนที่จะเป็นส่วนช่วยเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นคือการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งโครงการลงทุนในอีอีซี ที่จะต้องเร่งเข้ามาในปีหลังจากช่วงโควิด-19 ระบาด ที่การลงทุนมีการชะลอตัวลงไปมาก
ในส่วนความคืบหน้าเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 (บัตรคนจน) นั้น รมว.การคลัง ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน เบื้องต้นคาดว่าจำนวนผู้ลงทะเบียนที่ 20 ล้านกว่าคน เมื่อผ่านการคัดกรองร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะเหลือผู้ที่ได้รับสิทธิ์ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินใหม่ ใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมาที่ประมาณ 13 ล้านคน โดยคลังกำลังเร่งพิจารณารายชื่อเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนจะทันจ่ายเงินวันที่ 1 มี.ค.2566 หรือไม่ ต้องไปดูตารางเวลาอีกครั้ง ว่าจะต้องมีการปรับแก้ไขอะไรหรือไม่
นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวถึงกรณีที่ภาคเอกชน เสนอให้ ธปท. ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อเป็นการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ว่า กรณีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้พิจารณาเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้อยู่ในระดับปกติ และยังคงอยู่ในขั้นตอนของการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อเข้าสู่ระดับปกติ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ยังไม่อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3%
“ดอกเบี้ยปัจจุบันยังไม่ได้อยู่ในระดับปกติ และเงินเฟ้อยังไม่ได้เข้าเป้า ความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยยังมี หาก ธปท. หยุด ไม่ทำอะไร จะหมายความว่าเราพอใจกับเงินเฟ้อระดับนี้ เราโอเคหมดแล้วหรือไม่ การขึ้นดอกเบี้ยมันจะช่วยเรา หากมีช็อกในอนาคต เราจะมี policy space ถ้าหยุดแค่นี้ policy space ก็เหลือน้อย ทำอะไรไม่ได้ และเราไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยสูงจนชาวบ้านเดือดร้อน แต่เราต้องดูว่าผู้ฝากเงินได้รับประโยชน์ด้วย หากดอกเบี้ยต่ำนาน จะทำให้ต้องไปหาอะไรเสี่ยง ๆ ที่แม้อาจได้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ความเสี่ยงมากก็ขึ้นเยอะ” นายเมธี กล่าว
นายเมธี กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 3.7% ดีขึ้นจากปี 2565 และคาดว่าในปี 2567 ก็จะเติบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ น่าจะเริ่มชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยอยู่ในระดับที่ทรงตัว แต่ก็ยังไม่เข้าเป้าหมายกรอบเงินเฟ้อที่ตั้งไว้ที่ 1-3% แต่เชื่อว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในปี 2567 ดังนั้น นโยบายการเงินจึงยังไม่สามารถผ่อนคลายได้โดยเร็วนัก โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย แม้จะยังอยู่ในระดับที่ห่างจากดอกเบี้ยต่างประเทศถึง3% ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบให้เงินทุนไหลออก โดยพบว่าในช่วงไตรมาส 4/2565 ยังเป็นเงินทุนไหลเข้าสุทธิ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผงะ! ขุนคลัง ขอร่วมวงถก สมาคมแบงก์
“ขุนคลัง” ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมแบงก์ หวังถกปลดล็อกปล่อยกู้ กระทุ้งหั่นดอกเบี้ย พร้อมเร่งหาข้อสรุปมาตรการ LTV ให้จบก่อนสิ้นเดือนนี้ “นักวิชาการ” หนุนหวยเกษียณ แต่แนะเพิ่มเงินรางวัล
นายแบงก์ผวา! 'ขุนคลัง' ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมธนาคารไทย บี้ปลดล็อกปล่อยกู้ หั่นดอกเบี้ย เร่งสรุปLTVก่อนมหกรรมบ้าน
'ขุนคลัง' ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมแบงก์ หวังถกปลดล็อกปล่อยกู้ กระทุ้งหั่นดอกเบี้ย พร้อมเร่งหาข้อสรุปมาตรการ LTV คาดได้ข้อสรุปก่อนมหกรรมบ้านและคอนโด ปลายเดือนนี้
เฮ!ทุกกลุ่มซื้อหวยเกษียณได้
คนไทยได้เฮ! “คลัง” ปลดล็อกเงื่อนไขโครงการหวยเกษียณ ไฟเขียวคนไทยซื้อได้ทุกกลุ่มอายุ-อาชีพ ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ลุ้นรับรางวัลใหญ่ 1 ล้านบาท