เอสซีจี เจอพิษราคาพลังงานฉุดกำไรลดฮวบ

เอสซีจี เผยรายได้ปี 65 ยังโตที่ 7% สวนทางกำไรลดฮวบจากราคาพลังงานสูงลิบ ลั่นยังมีแรงสู้ตั้งเป้าเข็นเป้ารายได้ปีนี้โต 10% ยอมรับวิกฤตที่ผ่านมาแรงเกินต้าน หนักสุดในรอบ 15 ปี

27 ม.ค. 2566 – นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการของเอสซีจีปี 2565 มีรายได้ 569,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 530,112 ล้านบาท ขณะที่สามารถทำกำไรได้ 21,382 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 47,174 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว วัฏจักรปิโตรเคมีขาลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี ต้นทุนพลังงานสูงทั้งถ่านหินและค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตซ้อนวิกฤต ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ค่าเงินบาทผันผวน เศรษฐกิจจีนชะลอตัว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่าปี 2566 เอสซีจีตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายเติบโต 10% ที่คาดว่าจะมีรายได้จากเอสซีจีเคมีคอลส์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ที่ประเทศเวียดนามล่าสุดมีความคืบหน้าแล้วกว่า 98% พร้อมเดินเครื่องผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดช่วงกลางปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายรวม แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับทิศทางราคาสินค้าตลาดโลกอีกครั้ง โดยปีนี้มีแผนลงทุนในโครงการที่จำเป็นภายใต้งบลงทุน 40,000-50,000 ล้านบาท จากปีก่อน 50,000 กว่าล้าน

“ยอมรับปี 2565 กำไรลดลงอย่างมาก ต่ำสุดในรอบ 14-15 ปี นับจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แม้เอสซีจีจะปรับตัวลดต้นทุนไปมากแล้ว แต่วิกฤติครั้งนี้ก็แรงจริง ๆ เพราะไม่ใช่เฉพาะวิกฤติราคาพลังงานสูงอย่างเดียว แต่ส่งผลไปยังความต้องการของสินค้านั้นลดลงไปด้วย ทำให้ผู้ผลิตภาคส่วนต่าง ๆ ต้องลดกำลังการผลิตลงตาม กระทบทั้งซัพพลายเชน ขณะที่ด้านต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เห็นได้จากรัฐบาลหลายประเทศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหลังโควิดคลี่คลาย หลายประเทศเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่สามารถต้านได้ ซึ่งมองว่าธุรกิจอื่นก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน เอสซีจึจึงต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ และคำนึงถึงผลตอบแทนที่คุ้มค่า”นายรุ่งโรจน์ กล่าว

ทั้งนี้หากพิจารณาเป็นรายธุรกิจปี 2565 พบว่าธุรกิจเคมีคอลส์ มีรายได้จากการขาย 236,587 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 1% มีกำไร 5,901 ล้านบาท ลดลง 80% เนื่องจากปริมาณขายสินค้าลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายสินค้าปรับตัวลดลงตามไปด้วย ทำให้ไตรมาส 4/2565 ขาดทุน 1,052 ล้านบาท เพราะรายได้จากการขายที่ 43,285 ล้านบาท ลดลง 25% ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้ 204,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% มีกำไร 3,789 ล้านบาท ลดลง 11% จากกลยุทธ์การปรับราคาขายสินค้าส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและในภูมิภาค ส่งผลให้ไตรมาส 4/2565 ขาดทุน 717 ล้านบาท

ขณะที่ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP มีรายาได้จากการขาย 146,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ และการขยายกำลังการผลิต มีกำไร 5,801 ล้านบาท ลดลง 30% จากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และการหดตัวของปริมารการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ท่ามกลางอุปสงค์ที่ลดลงทั่วโลก

ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 4/2565 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 157 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 94% มีรายได้จากการขาย 122,190 ล้านบาท ลดลง 14% จากส่วนต่างราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก หากไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ รายการด้อยค่าสินทรัพย์ และรายการอื่นจะมีกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,070 ล้านบาท ลดลง 66%

“ความคืบหน้าการนำธุรกิจเอสซีจี เคมีคอลส์ (SCPC) เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัยพ์แห่งประเทศไทย(ตลท.) อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน”นายรุ่งโรจน์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตลาด mai เปิดกำไร บจ. ไตรมาส 1 รวมทะลุ 4.6 พันล้านบาท

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มียอดขายรวม 54,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.2% ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 6.7% และ 6.4% ตามลำดับเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ บจ. มีความสามารถในการทำกำไรในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ดีขึ้น

เซ็นทรัล รีเทล โชว์รายได้ Q1 โกยรายได้ 6.7 หมื่นล้าน

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล เปิดปีโตต่อเนื่อง ด้วยผลประกอบการในไตรมาสแรก

OR เผยผลประกอบการไตรมาสแรก 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนในทุกกลุ่มธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ มุ่งสู่การเป็น Data-Driven Organization ควบคู่กับการสร้างอนาคตอย่างยั่งยืน

OR เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มี EBITDA จำนวน 6,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 100% จากไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสุทธิ 3,723 ล้านบาท