กทพ.เดินหน้าโครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี ช่วงจตุโชติ-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 (MR 10) เตรียมเสนอ สศช.ไฟเขียวลงทุน 3.3หมื่นล้านบาท หวังแก้ปัญหาการจราจรติดขัดเชื่อม MR6 กาญจนบุรีในอนาคต
11 ม.ค. 2566 – นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า กทพ. จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 2 งานศึกษาและจัดทำรายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการทางพิเศษ(ทางด่วน) สายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี ระยะแรก (เฟส) ช่วงจตุโชติ-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 (MR 10) ระยะทาง 19.25 กิโลเมตร(กม.)
อย่างไรก็ดี ภายหลังรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ กทพ.มีกรอบดำเนินงานเบื้องต้นจะเสนอผลการศึกษาไปยังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในวันที่ 11 ม.ค.นี้ หลังจากนั้นหากไม่มีความเห็นเพิ่มเติมก็คาดว่าจะสามารถเสนอโครงการดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ม.ค.นี้ เพื่อเดินหน้าขั้นตอนขออนุมัติร่างพ.ร.ฎ.เพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 1 เดือน และตรา พ.ร.ฎ.เพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 6 เดือน จึงคาดว่าจะเริ่มจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินในโครงการนี้ ช่วงปี 2567 – 2568 ก่อนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 36 เดือน หรือระหว่างปี 2567 – 2570
สำหรับโครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี ช่วงจตุโชติ-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 (MR 10) จะมีระยะทาง 19.25 กม. มูลค่าโครงการ 33,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าก่อสร้างโครงการฯ (รวมค่าควบคุมงาน) วงเงิน 26,100 ล้านบาท ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน วงเงิน 7,300 ล้านบาท โดยรูปแบบการลงทุน กทพ.จะเป็นผู้ดำเนินการลงทุนโครงการฯทั้งหมด เบื้องต้นจะจัดใช้วงเงินลงทุนบางส่วนจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) และส่วนที่เหลือจากการกู้เงิน หลังจากนั้นจะจัดหาเอกชนบริหารจัดเก็บค่าผ่านทางระยะสัญญาสัมปทาน 30 ปี
สำหรับ อัตราค่าผ่านทางโครงการมีการกำหนดอัตราค่าผ่านทางสำหรับรถ 4 ล้อ อยู่ที่ 25-45 บาท รถ 6-10 ล้อ มีอัตราค่าผ่านทางอยู่ที่ 55-85 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ มีอัตราค่าผ่านทางอยู่ที่ 80-130 บาท โดยเก็บเพิ่มขึ้นตามระยะทาง 1.25 บาทต่อกิโลเมตร และมีการปรับค่าผ่านทางทุก 5 ปี ตามค่าเฉลี่ยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งอัตราค่าผ่านทางของรถแต่ละประเภทจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาดของรถแต่ละประเภท ด้านระบบจัดเก็บค่าผ่านทางเป็นระบบปิด เนื่องจากมีความเหมาะสมต่อรูปแบบของโครงการ โดยระบบหลักที่ใช้ในการเก็บค่าผ่านทางของโครงการ คือ ระบบ M-Flow หรือระบบจัดเก็บค่าผ่านทางแบบไร้ไม้กั้น สามารถรองรับปริมาณรถได้ถึง 2,000-2,500 คันต่อชั่วโมงต่อช่องทาง
ทั้งนี้ แนวเส้นทางโครงการมีจุดเริ่มต้นบริเวณทางพิเศษฉลองรัชที่ด่านจตุโชติ ยกระดับข้ามถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก (ถนนกาญจนาภิเษก) ไปทางทิศตะวันออก ถนนหทัยราษฎร์ ถนนนิมิตใหม่ จากนั้นจะลดระดับลงสู่พื้นที่บริการทางพิเศษ (Rest Area) ในระดับดินที่ กม. 11+040 ของโครงการ จากนั้นจะเริ่มยกระดับอีกครั้งผ่านถนนคลองเก้า และเลี้ยวไปทางทิศเหนือเชื่อมต่อถนนลำลูกกาบริเวณใกล้คลองหกวาสายล่าง ปทุมธานี และสิ้นสุดโครงการโดยเชื่อมต่อ MR 10 ที่บริเวณแขวงคลองสิบ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'สศช.'หนุนเจรจาหาประโยชน์ร่วมกัมพูชา
“สภาพัฒน์” หนุนเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลใช้ประโยชน์แหล่งพลังงานร่วมกันกับกัมพูชา จับตาครม. ต่ออายุ เลขาสศช.
'สภาพัฒน์' สั่งจับตาหนี้เสีย แนะแบงก์ปรับโครงสร้างหนี้
‘สภาพัฒน์’เผยหนี้เสียยังเพิ่มขึ้นมาที่ 2.99% เร่งแบงก์ปรับโครงสร้างหนี้ แนะจับตาประเด็นการกู้เงินนอกระบบบนโซเชียลมีเดีย ส่วนอัตราว่างงานไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1.07% เพิ่มขึ้นครั้งแรกหลังฟื้นตัวจากโควิด
สภาพัฒน์ เตรียมชงครม.อุ๊งอิ๊ง จัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงการเดินหน้า โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยจะต้องดูว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร หากรัฐบาลดำเนินมาตรการนี้ต่อก็จะต้องดูว่ามีการปรับเปลี่ยนมากน้อยแค่ไหน จากเดิมที่มีข้อเสนอสำคัญไป 2 เรื่อง คือ แหล่งที่มาของเงิน จากงบประมาณปี 67 ที่มีการใช้จ่ายแล้ว และงบประมาณปี 68 ที่จะเข้ามาวันที่ 1 ตุลาคมนี้
BEM ร่วมกับ กทพ. เพิ่มช่อง Easy Pass เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ในการเดินทาง
บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ร่วมกับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. เปิดช่อง Easy Pass เพิ่มอีก 1 ช่องทาง