กกพ. เคาะปรับขึ้นค่าเอฟทีครั้งแรกในรอบ 2 ปีดันอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มเฉียด 5%

กกพ. เคาะ ปรับขึ้นค่าเอฟทีปี 2565 แบบขั้นบันได ทยอยเพิ่มค่าเอฟทีประจำงวด ม.ค. – เม.ย. 65 ที่ 16.71 สตางค์ ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 รับภาวะราคาพลังงานขาขึ้น หลังตรึงค่าเอฟทีรับมือโควิด-19 นานกว่า 2 ปี

19 พ.ย. 2564 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 กกพ. มีมติให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม – เมษายน 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 จากงวดปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง การนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศในส่วนของพลังน้ำลดลงตามฤดูกาลและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านลิกไนต์ลดลงตามแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ส่งผลให้สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนราคาถูกลดลง นอกจากนั้นราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากตามภาวะราคาน้ำมันขาขึ้นในตลาดโลก และปริมาณนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มากขึ้น เพื่อทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงเนื่องจากเป็นช่วงปลายสัมปทาน

“หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กกพ. ได้ดำเนินนโยบายบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้ใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการการลดค่าไฟฟ้า และตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรหรือเอฟทีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เบาบางลง ทำให้เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับสถานการณ์วิกฤตพลังงานในต่างประเทศ ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวส่งผลให้เกิดภาวะพลังงานตึงตัว (Energy Crisis) เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้พลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนี้ จึงเป็นเหตุทำให้ค่าเอฟทีในงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 (ที่ใช้ค่าจริงเดือนกันยายน 2564 ในการประมาณการ) เพิ่มสูงขึ้นเป็น 48.01 สตางค์” นายคมกฤช กล่าว

สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 ประกอบด้วย

1 ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 เท่ากับประมาณ 65,325 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64,510 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26

2 สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 60.27 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวมร้อยละ 13.92 และค่าเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 7.68 ลิกไนต์ของ กฟผ. ร้อยละ 7.55 และอื่นๆ อีก ร้อยละ 6.92

3 ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณในรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ ดังที่แสดงในตาราง

4 อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1 – 30 กันยายน 2564) เท่ากับ 33.0 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าจากประมาณการในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

นายคมกฤช กล่าวว่า จากการประชุม กกพ. ล่าสุด กกพ. ห่วงใยสถานการณ์ราคาพลังงานที่แพงขึ้นอย่างมาก และเป็นห่วงถึงผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้พลังงานเป็นวงกว้าง และได้พิจารณานำเงินบริหารจัดการค่า Ft และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดมาลดผลกระทบของการปรับค่าเอฟทีครั้งนี้กว่า 5,129 ล้านบาท และนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา จำนวนเงิน 13,511 ล้านบาท รวมเป็นเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่า Ft ทั้งหมด 18,640 ล้านบาท ตลอดจน ได้พิจารณาค่าแนวโน้มปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 32.1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันตลาดโลกคาดการณ์เฉลี่ยลดลงมาเป็นประมาณ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และให้มีการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันทดแทน Spot LNG ซึ่งมีราคาสูงเพื่อลดผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวมด้วยแล้ว ยังคงทำให้ค่าเอฟทีต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.18 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 22.50 สตางค์ ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะสั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้น กกพ. จึงได้พิจารณาแนวทางในการลดผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปีโดยทยอยปรับเพิ่มค่าเอฟทีแบบขั้นบันได โดยในงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2565 จะเพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์ จากปัจจุบัน -15.32 สตางค์ในงวดก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยปรับปรุงตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป

กกพ. ยังคงติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยยังคาดหวังว่าสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน และราคาเชื้อเพลิงยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้บ้าง หลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวซึ่งมีปริมาณความต้องการการใช้ก๊าซธรรมชาติสูง และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะสามารถบริหารจัดการความสมดุลของอุปสงค์ และอุปทานน้ำมันในตลาดให้ดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ราคาพลังงานระยะต่อไปยังคงมีความผันผวนและเป็นแนวโน้มขาขึ้น ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายสัมปทาน จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งการประหยัดใช้พลังงาน กกพ. จะดูแลค่าไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ได้อย่างราบรื่นและมีความสมดุล
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนมกราคม – เมษายน 2565 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 19 – 25 พฤศจิกายน 2564 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พีระพันธุ์' แย้มข่าวดี! ตรึงค่าไฟ 3.99 บาท กลุ่มเปราะบาง

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและพลังงาน กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือประชาชนภายหลัง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค. -เม.ย. 2567