ส.อ.ท. จับตาการประชุม กนง. 28 ก.ย.นี้ หวังเคาะทยอยขึ้นดอกเบี้ย แบบค่อย ๆ ขยับที่ 0.25% รับหากไม่ทำอะไรเลยอาจหนุนค่าเงินบาทอ่อนได้ต่อเนื่อง และอาจทะลุ 39บาทต่อเหรียญฯ หลังเฟดส่งสัญญาณขยับดอกเบี้ยต่อเนื่องถึงสิ้นปี
28 ก.ย. 2565 – นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 28 ก.ย.นี้คงต้องติดตามว่าจะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่อย่างไร ซึ่งเบื้องต้นหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าน่าจะขยับอีก 0.25% ต่อปีไปอยู่ที่ระดับ 1% ต่อปีจากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า โดยหากยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะยิ่งทำให้แนวโน้มค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าต่อเนื่องได้และจะกดดันให้ไทยเกิดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น
“ ค่าเงินบาทของไทยมีโอกาสหลุด 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐตามทิศทางการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ล่าสุดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% และจะขึ้นดอกเบี้ยอีกไปสู่ระดับ 4.4% ในสิ้นปีนี้ซึ่งก็จะทำให้ค่าเงินทุกสกุลอ่อนค่าลง เช่นเดียวกับค่าเงินบาทของไทยที่หากไม่ทำอะไรต่อไปก็จะหลุด 39 บาทต่อเหรียญฯและอ่อนไปเรื่อยๆเช่นกัน ดังนั้นคงต้องดูว่ากนง.จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะทยอยขึ้นมากกว่า”นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่านั้นมีทั้งปัจจัยบวกและลบจำเป็นต้องวางสมดุล กล่าวคือจะส่งผลดีต่อภาคส่งออกและการท่องเที่ยว ในมุมกลับกันการนำเข้าจะสูงขึ้นทั้งในแง่วัตถุดิบ เครื่องจักร และที่สำคัญคือ พลังงาน ที่ไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันดิบถึงวันละประมาณ 9 แสนบาร์เรล ยังไม่รวมถึงก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) อีกเหล่านี้ทำให้ไทยต้องจ่ายเพิ่มขึ้นสะท้อนจากการส่งออกล่าสุด 8 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 196,446.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 11 % การนำเข้า มีมูลค่า 210,578.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 21.4% ส่งผลให้ไทยขาดดุล 14,131.7 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งการขาดดุลฯเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากการนำเข้าพลังงาน
“เงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มยังสูงเพราะเมื่อบาทอ่อนค่าก็จะไปดันให้การนำเข้าพลังงานของไทยสูงขึ้น เมื่อค่าพลังงานสูง สินค้าต่อเนื่องจากน้ำมันรวมถึงขนส่งก็แพงตาม และแน่นอนว่าจะตามมาซึ่งดอกเบี้ยที่สูงอีกในการซ้ำเติมต้นทุนทางการเงิน ยิ่งการผลิตที่เน้นตลาดในประเทศยิ่งกระทบและที่สุดก็ต้องขึ้นราคาสินค้า ค่าครองชีพประชาชนก็จะสูงตามในที่สุด ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยของเราจึงค่อยๆทำเพื่อประคองเศรษฐกิจได้เพราะบริบทเงินเฟ้อของเราต่างกับสหรัฐฯ”นายเกรียงไกร กล่าว
สำหรับการส่งออกของไทยในเดือนส.ค. 2565 แม้ว่าจะมีมูลค่า 23,632.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 861,169 ล้านบาท ขยายตัว 7.5% จะพบว่าอัตราการเติบโตเริ่มลดต่ำกว่า 10% ถือเป็นการย่อตัวซึ่งสะท้อนให้เห็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มถดถอยเช่นกัน อย่างไรก็ตามในช่วง 4 เดือนที่เหลือการเติบโตก็คงจะไม่ได้ร้อนแรงนักทำให้ภาพรวมการส่งออกปี 2565 คาดว่าจะอยู่ในระดับ 8 % ซึ่งก็คงจะต้องติดตามใกล้ชิด