21 ก.ย. 2565 -นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวถึงสถานการณ์เงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าทะลุ 37 บาท ว่า เตรียมนัดหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบกับการเคลื่อนไหวของค่าเงิน ซึ่งเรื่องนี้ทาง ธปท. ดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ดังนั้นกระทรวงการคลังคงจะไปกำหนดมาตรการอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากไม่ได้ แต่ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงว่าเงินบาทจะอ่อนค่าเร็วเกินไปหรือไม่ จึงต้องมาวิเคราะห์ร่วมกันว่าหากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลกระทบกับอะไรบ้าง
โดยสถานการณ์ตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า เรื่องราคาพลังงาน และความเป็นห่วงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศมหาอำนาจ เป็นปัจจัยกดดันสำคัญ และเป็นที่จับตามองจากทั้งวงการการเงินและตลาดทุน ซึ่งเราจะต้องเตรียมการรองรับเอาไว้ เพราะมองว่าไทยก็อาจจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ดังนั้นก็ต้องปรับตัวกันไป ส่วนสถานการณ์การเคลื่อนย้ายเงินทุนนั้น ธปท. รายงานเข้ามาตลอด พบว่า ยังเป็นปกติ ไม่มากเท่าไหน
“คงต้องมาคุยกันว่าเงินบาทอ่อนค่าเกินปัจจัยพื้นฐานไหม ซึ่งตรงนี้คงตอบไม่ได้ ส่วนที่ถามว่าเงินบาทอ่อนค่าเร็วไปไหมนั้น จะพูดว่าเงินบาทของเราอ่อนค่าด้วยตัวเอง หรืออ่อนค่าจากปัจจัยภายนอก ก็ต้องมาพิจารณาดู เพราะเวลาเงินบาทอ่อนค่าเร็ว ก็ต้องดูด้วยว่าเงินสกุลอื่นแข็งค่าเร็วหรือเปล่า ถ้าดอลล่าร์แข็งค่าขึ้นเร็ว เงินบาทก็ต้องอ่อนค่าเร็วตามไปด้วยอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องดูหลาย ๆ ปัจจัย เรื่องเงินบาทคงต้องไปถามทาง ธปท.” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวอีกว่า หากย้อนดูสถิติที่ผ่านมาจะมีช่วงที่เงินบาทอ่อนค่ามากที่สุดแล้วจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงระดับสูงที่สุดแล้วจนทุกอย่างอยู่นิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นค่าเงินบาทก็จะมีการปรับตัวตามพื้นฐานใหม่ ยืนยันว่าเรื่องค่าเงินนั้นมีขึ้น ก็ต้องมีลง
ทั้งนี้ ยอมรับว่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลกระทบกับเรื่องวัตถุดิบ มีผลให้ราคาต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทางรัฐบาลได้พยายามออกมาตรการดูแลอยู่ตลอด โดยเฉพาะการดูแลราคาขายปลีก และมาตรการต่าง ๆ ที่จะเข้ามาช่วยพยุงในเรื่องของต้นทุน ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลทำทุกอย่างเท่าที่มีเครื่องมือ