ปตท.สผ.กางแผนปรับเป้าขายปิโตรเลียมปี64 มองราคาน้ำมันวิ่ง 70-80 เหรียญฯ/บาร์เรล

ปตท.สผ.กางแผนปรับเป้าขายปิโตรเลียมปี 64 เพิ่ม ลุยรักษาระดับต้นทุนหลังประเมินราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในกรอบ 70-80 เหรียญฯ/บาร์เรล พร้อมจ่อทบทวนแผนลงทุน 5 ปี สรุป ธ.ค.นี้ ปักหลักพัฒนาโครงการในอ่าวไทยและภูมิภาค แย้มเพิ่มกำลังการผลิตแหล่งอาทิตย์-บงกช 

8 พ.ย. 2564 นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) เปิดเผยวิสัยทัศน์และทิศทางการดำเนินธุรกิจในโอกาสเข้ารับตำแหน่งว่า ปี 2564 บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณขายปิโตรเลียมเป็น 417,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากไตรมาส 2 ที่ตั้งไว้ 412,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการในต่างประเทศ โดยคาดการณ์ราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ประมาณ 5.7 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ตั้งเป้ารักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ประมาณ 28-29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ประมาณ 70-75% ของรายได้จากการขาย 

“ส่วนตัวประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและประเทศพันธมิตร(โอเปก พลัส) ประกาศคงอัตรากำลังการผลิตอยู่ที่ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และจะค่อย ๆ ทะยอยเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่สมดุลเพียงพอกับความต้องการในขณะนี้”นายมนตรี กล่าว 

นายมนตรี กล่าวว่าปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาและรวบรวมเพื่อจัดทำแผนลงทุน 5 ปีอีกครั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงเดือน ธ.ค. นี้ โดยบริษัทยังคงมุ่งเป้าไปยังการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีและแก๊ส โดยเฉพาะโครงการในอ่าวไทยที่มีหลายแผนงานจะผลักดัน ขณะเดียวกันการลงทุนในภูมิภาคหรือต่างประเทศ ก็มองถึงการเร่งพัฒนาโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติจากประเทศมาเลเซีย เพื่อที่จะให้สามารถเป็นแหล่งที่ใช้ตอบสนองต่อความต้องการที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังต้องรักษากำลังการผลิตในโครงการประเทศเมียนมาไว้ด้วย 

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินงานในโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลง G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ที่อยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านสิทธิการดำเนินการนั้น ขณะนี้ ปตท.สผ. ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อติดตั้งแท่นผลิตและท่อใต้ทะเลได้ตามแผน แม้บริษัทจะยอมรับเงื่อนไขการเข้าพื้นที่ของผู้รับสัมปทานปัจจุบันแล้วก็ตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการผลิตก๊าซธรรมชาติตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) บริษัทจึงได้ประสานงานกับผู้ซื้อและหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด และจะพยายามเร่งการลงทุนในแหล่งอื่นๆ ที่มีศักยภาพเพียงพอ เพื่อชดเชยปริมาณการผลิตที่หายไปบางส่วน  

“เราวางแผนไว้ว่าจะไปดึงกำลังการผลิตจากแหล่งบงกช และแหล่งอาทิตย์เข้ามาทดแทน ขณะที่ในอนาคตภายใน 2-3 ปี ก็มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของทั้ง 2 แหล่งนี้เช่นกัน โดยแหล่งอาทิตย์คาดว่าจะเพิ่มกำลังผลิตได้อีกประมาณ 100 ล้านลูกบาศก์ฟตุ(ลบ.ฟ.)ต่อวัน จากเดิมที่ผลิตอยู่ 220 ล้านลบ.ฟ.ต่อวัน ขณะที่แหล่งบงกชก็มีความสามารถเพิ่มได้อีก 125-150 ล้าน ลบ.ฟ.ต่อวัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องทำการศึกษาให้แน่ชัดก่อนและค่อยนำไประบุในแผนดำเนินงาน”นายมนตรี กล่าว 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ 3 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ โดยลงทุนผ่านบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ เออาร์วี ธุรกิจไฟฟ้าที่ต่อยอดจากก๊าซธรรมชาติ เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ พลังงานหมุนเวียน จะมองหาโอกาสการลงทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ โดยล่าสุดได้จัดตั้งบริษัท ฟิวเจอร์เทค เอนเนอร์ยี่ เวนเจอร์ส จำกัด และบริษัท ฟิวเจอร์เทค โซลาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต และธุรกิจที่รองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด โดยการมองหาโอกาสการลงทุนในเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และ การกักเก็บคาร์บอน และพลังงานรูปแบบใหม่ในอนาคต เช่น พลังงานไฮโดรเจน 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปตท.สผ. คว้า 2 รางวัลด้านกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชน จากเวทีระดับสากล

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. โดยฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม สงขลา ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติด้านกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชน