กกร.ชี้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ซบเซา ชี้ สหรัฐ-จีน ขยายตัวต่ำ

กกร.ชี้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ซบเซา สหรัฐ-จีน ขยายตัวต่ำ จับตาช่วงมี่เหลือของปีชี้มีหลายปัจจัยกระทบไทย แต่มั่นใจ GDP ยังโตท่ามกลางวิกฤติคงไว้ที่ 2.75 – 3.5% แต่ปรับเป้าส่งออกและอัตราเงินเฟ้อเพิ่ม

4 ส.ค. 2565 – นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนส.ค. 2565 โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานร่วมในการประชุม ว่าที่ประชุมมีมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกว่ากำลังชะลอตัวชัดเจนขึ้น เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 โดยเศรษฐกิจของสหรัฐฯหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก และจีนขยายตัวต่ำกว่าประมาณการค่อนข้างมาก

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกลงสู่ 3.2% ในเดือน ก.ค. จาก 3.6% ในเดือน เม.ย. จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจนกระทบครัวเรือนและภาคธุรกิจ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลาง และผลข้างเคียงต่อห่วงโซ่อุปทานจากมาตรการ Zero COVID ที่เข้มงวดของจีน เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย. ชี้ให้เห็นว่า การส่งออกไปประเทศเศรษฐกิจหลักเริ่มแผ่วลงบ้างแล้ว

“เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.6% ซึ่งสูงกว่าภาวะปกติที่ 1-3% มาก และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้าที่เริ่มกระจายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าไฟในงวด ก.ย.-ธ.ค. ก็จะเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้เร่งตัวขึ้นได้อีก ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะกระทบอำนาจซื้อภาคครัวเรือนและต้นทุนของภาคธุรกิจ”นายผยง กล่าว

อย่างไรก็ตามที่ประชุม กกร. ประเมินเศรษฐกิจไทยยังโตได้ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ซึ่งจะขยายตัวได้ในกรอบ 2.75% ถึง 3.5% ขณะที่มูลค่าการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ในกรอบ 6.0% ถึง 8.0% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว ได้ที่ 5.0-7.0% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 5.5% ถึง 7.0% เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 5.0-7.0%

ทั้งนี้การท่องเที่ยว และมาตรการภาครัฐเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวชัดเจนขึ้น โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องหลังยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่ามีโอกาสแตะระดับ 7-8 ล้านคน ประกอบกับยังมีแรงหนุนกำลังซื้อจากมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 5 ที่คาดว่าจะกระตุ้นการใช้จ่ายได้ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.2% ของ GDP ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศและภาวะเงินเฟ้อที่กระทบอำนาจซื้อ

นายผยง กล่าวว่า ประเด็นอื่น ๆ ที่หารือในการประชุมกกร. คือ 1. ด้านการขับเคลื่อนประเทศ ในที่ประชุมกกร.วันนี้ได้รับเกียรติจากหม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และผู้แทนการค้าไทย มาให้ข้อมูลทิศทางการขับเคลื่อนการฟื้นตัวประเทศ เพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน คือ Better and Green Thailand 2030 ที่ประกอบ ด้วย 5 มาตรการหลัก (1)ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 2.1 แสนล้านบาท (2) Smart Electronics โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 5 แสนล้านบาท

(3) ดึงดูดชาวต่างชาติ ที่มีศักยภาพสูงด้วยให้วีซ่าระยะยาว 10 ปี (LTR) โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 1 ล้านล้านบาท (4) อุตสาหกรรม Digital (Data Center and Cloud Service) โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 1 แสนล้านบาท และ (5) Soft Power โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 3 หมื่นล้านบาท ซี่งมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ เช่น การเปิดใช้วีซ่าระยะยาว 10 ปี (LTR) และการส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ หากสามารถผลักดันให้สำเร็จ จะเป็นผลดีกับประเทศเป็นอย่างมาก
ซึ่งช่วยสร้าง GDP ได้ถึง 1.7 ล้านล้านล้านบาท และการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน 6.25 แสนตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 13% ภายในปี 2030สอดคล้องกับที่ประชุมกกร. ที่มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องจำเป็นในการช่วยขับเคลื่อนประเทศในอนาคตเช่นเดียวกัน จึงเห็นด้วยและพร้อมให้การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทย เพื่อมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและใช้จุดแข็งของประเทศไทยในเรื่องของพลังงานสะอาดในการดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตมากขึ้น ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อคุณภาพให้เข้ามาใช้จ่ายในประเทศ

2.กกร. ได้มีการหารือร่วมกับทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยและนักธุรกิจญี่ปุ่น ในหลายมิติที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนและการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกในการขอ Business Visa สำหรับนักธุรกิจที่จะเข้ามาติดต่อธุรกิจระยะสั้นในไทย เช่น การเข้ามาเจรจาธุรกิจ การเข้ามาทำนิติกรรมสัญญาทางธุรกิจ เป็นต้น ซึ่ง กกร. เห็นด้วยกับแนวทางการปรับปรุงการขอ Business Visa เช่น การนำระบบ E-Visa มาใช้ในการยื่นเอกสาร Business Visa สำหรับนักธุรกิจที่จะเข้ามาติดต่อธุรกิจระยะสั้นในไทย การปรับลดเอกสารในการพิจารณา และลดระยะเวลาในการพิจารณา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ สอดคล้องกับการที่ไทยมีการยกเลิก Thailand Pass ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565 เป็นต้นมา

3. ด้านแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และค่าธรรมเนียม FIDF ที่ประชุมกกร.เห็นว่า มีความสอดคล้องกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจ รวมถึงแนวทางของนโยบายการคลังและความจำเป็นในการรักษาสมดุลด้านนโยบายในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก

และ 4. สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ธนาคารกลางเมียนมา (CBM) ได้ออกคำสั่งให้บริษัทและผู้กู้ยืมเงินรายย่อยระงับการจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ รวมทั้งครอบคลุมการทำธุรกรรมในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ เพื่อรักษาปริมาณ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่องนั้น กกร. พบว่า การค้าระหว่างไทย – เมียนมา ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2565 ขยายตัวต่อเนื่อง มูลค่าการค้าอยู่ที่ 118,900.61 ล้านบาท โดยคิดเป็นการค้าชายแดน 91.64% ของมูลค่าการค้ารวม เป็นอันดับ 2 ของการค้าชายแดนไทย และหากพิจารณาถึงผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว จะสามารถแบ่งกลุ่มธุรกิจเป็น 2 ส่วน ดังนี้

(1)ด้านการค้าระหว่างไทย – เมียนมา (Trading Business) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการค้าชายแดน ยังไม่ได้รับผลกระทบ การค้าระหว่างประเทศ ได้รับผลกระทบ เนื่องจากมีการค้าขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และ (2) ด้านอุตสาหกรรมที่เข้าไปลงทุนในเมียนมา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการลงทุนทางตรง (FDI) หากเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินในไทยเป็นเงินบาท จะไม่ได้รับผลกระทบ และกลุ่มการลงทุนภายใน หมายถึง บริษัทที่ลงทุนในเมียนมาอยู่แล้ว และได้นำผลกำไรที่เกิดขึ้นมาลงทุนขยายธุรกิจต่อ กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบใด

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' คุย กกร. ชื่นมื่น! ปลื้มอวย 'พ่อนายกฯ' แก้เศรษฐกิจเก่งสุด

นายกฯ คุย ‘กกร.’ รับข้อเสนอแก้เศรษฐกิจ จับมือเอกชนหารายได้ใหม่เข้าประเทศ ด้าน ‘สนั่น’ เชื่อมั่นรัฐบาลอิ๊งค์ พร้อมช่วยดันจีดีพีโต ชมเปาะ 'ทักษิณ' เก่งสุด

โฆษกรัฐบาลเผยทุกแบงก์เร่งเชื่อมระบบชำระเงินใน 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

โฆษกรัฐบาล เผยความคืบหน้าดิจิทัลวอลเล็ต 'สมาคมธนาคารไทย' ชี้ทุกธนาคารยินดีให้ความร่วมมือเร่งเชื่อมระบบชำระเงิน Open loop พร้อมย้ำลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐ ข้อมูลไม่รั่วไหล ระวัง! อย่าเชื่อข่าวปลอม