ตลาดอสังหาฯไตรมาส 1 ฟื้นตัวแรง โตทะลุ 10%

ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ของประเทศไทยไตรมาส 1 ปี 2565 เท่ากับ 86.8 เพิ่มขึ้น 10.4% เหตุเพราะภาพรวมยอดขายดีขึ้น

12 ก.ค. 2565 – ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จัดทำดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ของประเทศไทย เพื่อเป็นการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยอย่างใกล้ชิด และเพื่อใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย โดยจัดทำขึ้นจากชุดข้อมูลทั้งด้านอุปสงค์ และด้านอุปทาน ทั้งนี้ ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ของประเทศไทย ในภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 86.8 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ร้อยละ 10.4 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2

การเพิ่มขึ้นของ ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ของประเทศไทยในไตรมาส 1 ปี 2565 แสดงให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของทั้งด้านอุปสงค์ และอุปทานของตลาดที่อยู่อาศัย โดยด้านอุปสงค์หรือความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นโดยสะท้อนผ่านอัตราดูดซับของโครงการสำรวจที่อยู่อาศัยใน ไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีอัตราดูดซับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 7.6 ต่อเดือน เพิ่มจากครึ่งหลังปี 2564 ที่ร้อยละ 3.3 ต่อเดือน ขณะที่อัตราดูดซับบ้านจัดสรรอยู่ที่ร้อยละ 3.1 ต่อเดือน เพิ่มจากครึ่งหลังปี 2564 ที่ร้อยละ 2.4 ต่อเดือน

ส่วนในด้านอุปทานในไตรมาส 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยได้สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ และ/หรือ เฟสใหม่ ที่มีค่าดัชนีในไตรมาส 1 ปี 2565 เท่ากับ 45.1 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ที่มีค่าดัชนีเท่ากับ 40.2 จากข้อมูลผลสำรวจภาคสนามของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ในไตรมาส 1 ปี 2565 พบว่า ผู้ประกอบการมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 207.9 โดยโครงการอาคารชุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 378.3 และแนวราบเพิ่มขึ้นร้อยละ 89.6

โดย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ หมวดที่อยู่อาศัย ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2565 คาดว่า ตลาดยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีอยู่ คือ การลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาทและครอบคลุมไปถึงบ้านมือสอง และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว รวมถึงการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศ โดย คาดว่าจะมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 9.1 (Base Case) หากรัฐบาลมีการออกมาตรการเสริมที่สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อและปลุกความเชื่อมั่นผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ก็จะช่วย กระตุ้นการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยทำให้ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ขยายตัวได้ถึง ร้อยละ 14.7 (Best Case)

อย่างไรก็ตาม หากตลาดที่อยู่อาศัยต้องเจอกับสถานการณ์ภาวะเงินเฟ้อสูงต่อเนื่องจากเดือน พฤษภาคม 2565 และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไม่เกิน 50 bps ก็อาจทำให้ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) มีอัตราขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5 (Worst Case) แต่ถ้าภาวะเงินเฟ้อสูง และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็จะส่งผลให้อัตราขยายตัวลดลงมากกว่า Worst Case ได้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ธอส. จัดทำ 7 มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุฤดูร้อน จ. อุตรดิตถ์

ธอส. ร่วมให้กำลังใจชาวอุตรดิตถ์ จัดทำ 7 มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหลังประสบภัยจากพายุฤดูร้อน หนักสุดในรอบ 60 ปี

ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลุยภารกิจเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน

ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล และ ก.คลัง จัดทำยุทธศาสตร์ธนาคาร มุ่งสู่ Sustainable Bank สอดรับวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND” ยกระดับไทยสู่การเป็น Financial Hub

อสังหาฯ 4 จังหวัดภาคใต้ฟื้น อานิสงส์ท่องเที่ยวหนุน ภูเก็ตนำโด่ง

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566

ธอส. เตือนภัย!! ระวังมิจฉาชีพ ใช้ภาพกรรมการผู้จัดการ ปล่อยสินเชื่อบุคคลออนไลน์

ธอส. เตือนภัย!! อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างหลอกลวงใช้ภาพกรรมการผู้จัดการ ปล่อยสินเชื่อบุคคลออนไลน์

ธอส. เตรียมวงเงิน 37,500 ล้านบาท ปล่อยกู้บ้านดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนน้อย

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงินรวม 37,500 ล้านบาท จัดทำ 4 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ สนับสนุนคนไทยทุกกลุ่มเป้าหมายให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผ่อนชำระต่ำล้านละ 3,500 บาท/เดือน เท่านั้น