“พิพัฒน์” ยกลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาขึ้น “พื้นที่พิเศษท่องเที่ยวยั่งยืน” ปั้นรายได้ต่อปี 4 หมื่นล้าน

18 มิ.ย. 2565 – นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ หรือ ท.ท.ช. เห็นชอบการประกาศพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ “วิถีชีวิตแห่งลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน” ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เสนอ ซึ่งจะครอบคลุม 15 อำเภอ ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา 8 อำเภอ (อำเภอเมืองสงขลา ระโนด สทิงพระ กระแสสินธุ์ สิงหนคร หาดใหญ่ ควนเนียง และบางกล่ำ) จังหวัดพัทลุง 5 อำเภอ (อำเภอเมืองพัทลุง ปากพะยูน บางแก้ว เขาชัยสนและควนขนุน) และจังหวัดนครศรีธรรมราช 2 อำเภอ (อำเภอชะอวด และหัวไทร) รวมเนื้อที่ประมาณ 5,553.260 ตารางกิโลเมตร

จุดเด่นของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นทะเลสาบแบบ “ลากูน” หนึ่งเดียวของประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน 117 แห่งทั่วโลก เป็นพื้นที่มีศักยภาพ มีคุณค่าและความโดดเด่นทั้ง 3 ด้าน คือ ทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ที่สามารถพัฒนาและต่อยอดเชิงสร้างสรรค์เพื่อพลิกฟื้นรูปแบบการท่องเที่ยวไทยสู่การท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง มีเอกลักษณ์ บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันพบประเด็นปัญหาของแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมไม่ได้รับการพัฒนาให้มีมาตรฐาน มีการบุกรุกทำลาย ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เสี่ยงที่จะสูญหาย ไม่ได้รับการสืบทอด ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความไม่ชัดเจนและไม่ต่อเนื่องของนโยบายหรือแผนงานด้านการท่องเที่ยว การพัฒนากระจุกตัวจนเกิดเป็นความเหลื่อมล้ำ สินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวไม่ได้รับการพัฒนาให้เกิดเป็นรายได้

การประกาศเป็นพื้นที่พิเศษฯ จะทำให้ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลามียุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างชัดเจน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน เกิดการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวและทรัพยากรธรรมชาติให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยได้มอบหมายให้ อพท. จัดทำ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และเสนอต่อที่ประชุม ท.ท.ช. เพื่อพิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง ซึ่ง (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์จะมุ่งดำเนินงานใน 5 เป้าหมายคือ พัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษเพื่อมุ่งสู่ชุมชนแห่งความสุข สร้างเสริมและกระจายรายได้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้วยการท่องเที่ยวโดยชุมชน สร้างต้นแบบของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ประสานความร่วมมือทุกภาคีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพกลไกและระบบบริหารจัดการการท่องเที่ยวที่นำไปสู่ความยั่งยืนอย่างบูรณาการ และเป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาตามแนวทางของหลักเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC)

โดยการพัฒนาจะก่อให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง 3 จังหวัด ภาคีทุกภาคส่วนยังได้รับการพัฒนายกระดับโดยใช้เกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (Global Sustainable Tourism Criteria : GSTC) มาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism Management Standard : STMS) และเกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนของประเทศไทย (Community Based Tourism : CBT) เกิดการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ความหลากหลายของชาติพันธุ์และความเป็นพหุสังคมวัฒนธรรม ให้เป็นจุดขายของการท่องเที่ยว เกิดพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านการท่องเที่ยว มีองค์กรกลางเข้ามาทำหน้าที่ประสานความร่วมมือกับทุกภาคีเพื่อแก้ไขปัญหา เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ผ่านการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวและนโยบายการพัฒนาต่างๆ ทำให้การพัฒนาของภาคีที่เกี่ยวข้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความชัดเจนอย่างต่อเนื่อง เกิดชุมชนต้นแบบในพื้นที่ นอกจากนั้นยังมีเป้าหมายผลักดันให้พื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาได้รับ มาตรฐานการท่องเที่ยวในระดับสากล เช่น เมืองสร้างสรรค์ และ Green Destination TOP-100 เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวคุณภาพ

นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการ อพท. กล่าวว่า อพท. จะเป็นหน่วยงานกลางในการประสาน ส่งเสริม และสนับสนุน กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในอันที่จะพัฒนาและยกระดับพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบแห่งนี้ให้เกิดความยั่งยืนทั้งในมิติสังคม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ และต้องสอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวและแผนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ฯ นี้จะทำให้การพัฒนาของภาคีที่เกี่ยวข้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกภาพ มีความชัดเจนในการนำไปสู่การปฏิบัติและขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง ลดความซ้ำซ้อนของการใช้งบประมาณ ซึ่งประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ดำเนินงานรวมกว่า 200 โครงการผ่านหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน ยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามวิถี เขา-โหนด-นา-เล ยุทธศาสตร์การพัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ต่อยอดอัตลักษณ์ของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ยุทธศาสตร์การพัฒนาเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว และยุทธศาสตร์การพัฒนามาตรฐานการบริหารจัดการการท่องเที่ยว


ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ อพท. จะดำเนินการสร้างการรับรู้และส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวของพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา (Kick off) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก มาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ 24 แห่ง แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม 57 แห่ง และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ 22 แห่ง ให้มีความพร้อมและมีคุณภาพและมีขีดความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) รวมถึงส่งเสริมแนวทางการท่องเที่ยวในวิถีใหม่ พัฒนามาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยว และการบริหารจัดการให้สามารถผ่านการรับรองตามมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย ตามนโยบายการท่องเที่ยวสีขาวของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่มุ่งเสริมสร้างการเป็นเจ้าบ้านที่ดี ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยววิถีใหม่ ส่งเสริมขับเคลื่อนการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนในพื้นที่สู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้น อพท.ยังวางแผนนำศักยภาพของพื้นที่ นำมาพัฒนาเป็นเส้นทางการท่องเที่ยว (Routing) ที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของท้องถิ่น จำนวน 5 เส้นทาง เพื่อสะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ของแผนการขับเคลื่อน “วิถีชีวิตแห่งลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน” ได้แก่ เส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เส้นทางท่องเที่ยววิถีโหนดนาเล เส้นทางท่องเที่ยววิถีชีวิตทะเลสาบสงขลา เส้นทางท่องเที่ยวตามรอยหลวงปู่ทวด และเส้นทางท่องเที่ยวโนรา มรดกภูมิปัญญาไทย มรดกวัฒนธรรมโลก โดยมีการประมาณการว่าจากการพัฒนาตามแผนงานระยะ 5 ปี จะส่งผลให้ทั้ง 3 จังหวัด คือ สงขลา พัทลุงและนครศรีธรรมราช มีจำนวนนักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้าพื้นที่ราวปีละ 7 – 8 ล้านคน สร้างรายได้ปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากปี 2563 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวรวม 3 จังหวัดราว 6 ล้านคน มีรายได้ราว 3 หมื่นล้านบาท

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รมว. พิพัฒน์ มอบ เลขา อารี ลงพื้นที่ จ.ระยอง เปิดอาคาร สปส. สาขาปลวกแดง สร้างความเชื่อมั่น พร้อมยกระดับการให้บริการ

ในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

”พิพัฒน์“ เปลี่ยนกระทรวงสู่ยุคAI สร้างทักษะการใช้ AI บริการหางาน พัฒนาฝีมือ แจ้งข้อร้องเรียน รับสิทธิประกันสังคม ให้สะดวก รวดเร็วขึ้น .

วันที่ 23 ธันวาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในงานการประชาสัมพันธ์ด้านปัญญาประดิษฐ์และการนำไปใช้สำหรับบุคลากรภาครัฐ (Kick off Artificial Intelligence Literacy for Government officer)

"พิพัฒน์" รมว. แรงงาน มอบ "มารศรี" เลขาธิการ สปส. รุดตรวจสอบ พร้อมให้การช่วยเหลือลูกจ้างประสบเหตุถังแก๊สระเบิดโรงงานเหล็ก จังหวัดระยอง

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 67 เวลาประมาณ 09.40 น. เกิดเหตุการณ์ถังแก๊สระเบิด และเกิดเพลิงไหม้โรงงานผลิตเหล็ก ของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 ราย

“พิพัฒน์” นำกระทรวงแรงงาน Roadshow Matching งานให้คนไทย เพิ่มโอกาสทำงานต่างประเทศ เปิดที่แรกกรุงโตเกียว

วันที่ 19 ธันวาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน

“พิพัฒน์” เยือนญี่ปุ่น ถกรัฐมนตรีแรงงาน นายจ้างญี่ปุ่นต้องการแรงงานทักษะ16 สาขา 820,000คน ที่แรกกรุงโตเกียว

วันที่ 19 ธันวาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงานเข้าพบเข้าพบ Mr. Takamaro FUKUOKA

“พิพัฒน์” พบ รมว.แรงงาน ญี่ปุ่น ถกเพิ่มอัตราจ้างคนไทยดูแลผู้สูงอายุ พร้อมหนุนองค์กรรับส่งแรงงานไทย

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นางมารศรี ใจรังษี