“โฮมโปร” โชว์รายได้ช่วง 9 เดือนแรก มีรายได้รวม 46,563.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 839.25 ล้านบาท หรือ 1.84% และมีกำไรสุทธิ จำนวน 3,665.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.76 ล้านบาท หรือ 1.54% แม้สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่จะรุนแรง แต่รายได้ “โฮมโปร” ยังคงเติบโต
27 ต.ค. 2564 นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัท ในช่วง 9 เดือนแรก 2564 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 46,563.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 839.25 ล้านบาท หรือ 1.84% และมีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 3,665.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.76 ล้านบาท หรือ 1.54 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 44,376.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 942.83 ล้านบาท หรือ 2.17% แม้จะมีการปิดสาขาชั่วคราวในไตรมาส 3 ของปี 2564 เป็นผลจากทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทาง Omni Channel และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งบนช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ เช่น Homepro Super Expo และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้น เช่น พฤติกรรมทำงานที่บ้าน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่า จำนวน 844.03 ล้านบาท ลดลง 237.91 ล้านบาท หรือ 21.99% เป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงมีการปรับลดหรือยกเว้นค่าเช่าให้แก่ผู้เช่า ซึ่งยังได้รับผลกระทบจากระบาดของ COVID-19 นอกจากนี้ ตามคำสั่งของรัฐบาลได้กำหนดให้สามารถเปิดธุรกิจในศูนย์การค้า ได้เพียงบางประเภท ซึ่งสามารถเปิดได้น้อยกว่าช่วงเวลาปิดศูนย์การค้าในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ รายได้ร้านค้าเช่าจากศูนย์การค้าลดลง รวมถึง ไม่มีรายได้ค่าเช่าจากพื้นที่เช่าที่มาจากการจัดงาน Homepro Expo เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ที่มีการจัดกิจกรรม HomePro Expo
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้อื่นอีก จำนวน 1,342.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134.33 ล้านบาท หรือ 11.12% โดยเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าในสาขาเพิ่มขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 11,257.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 345.45 ล้านบาท หรือ 3.17% โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.12% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.37% เป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนจัดซื้อสินค้า ควบคุมต้นทุน และเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าสำหรับการทำงานที่บ้าน และกลุ่มสินค้าทำความสะอาด ถึงแม้ว่าในไตรมาสที่ 3 จะได้รับผลกระทบทำให้อัตรากำไรขั้นต่ำลดลงก็ตาม
นายคุณวุฒิ กล่าวต่ออีกว่า บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ พัฒนาช่องทาง Omni Channel มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจำหน่ายสินค้า และการให้บริการต่างๆ เช่น Click and Collect (สั่งซื้อสินค้าออนไลน์และมารับที่สาขา) Same Day Delivery (จัดส่งสินค้าภายในวันที่มีการสั่งซื้อ) และ social media platform “Shop4You” (ผู้ช่วยเสมือนในการเลือกซื้อสินค้าด้วยตนเองที่สาขา) ทำให้บริษัทฯ พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี
บริษัทฯ มองการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม Work From Home เป็นโอกาสที่จะได้เพิ่มสัดส่วนสินค้าใหม่ๆ ให้ตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้า และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆ ของบริษัทฯ ทางช่องทาง Home Pro Application และ Home Service Application นอกเหนือจากทางเว็บไซต์
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการดำเนินการสาขาที่มีคำสั่งปิด ด้วยการปรับใช้ระบบ Order Fulfillment เพื่อสื่อสารกับฝ่ายคลังสินค้าในแต่ละสาขา โดยระบบจะเชื่อมโยงการส่งสินค้ากับการสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า สนับสนุนการจัดส่งภายในวันและจัดส่งในวันถัดไป ทั้งยังให้พนักงานในสาขาปรับการให้บริการเป็นแบบ Shop4You เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการสั่งซื้อสินค้าตลอดจนจบกระบวนการ นอกจากนี้สาขายังสามารถจัดเตรียมสินค้าสำหรับลูกค้าที่สะดวกเข้ามารับสินค้าด้วยตัวเองที่สาขาเป็นบริการ Click And Collect ดังนั้นบริษัทฯ จึงสามารถใช้พื้นที่ในสาขา และทรัพยากรบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายคุณวุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2564 บริษัทฯ มีโฮมโปร 86 สาขา โฮมโปรเอส 8 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 7 สาขา ทั้งนี้ยังได้รับ การจัดอันดับเครดิตองค์กร ของบริษัทฯ อยู่ในระดับมั่นคงและแข็งแรงในระดับ AA- จากการจัดอันดับของ TRIS Rating อีกด้วย