กทม.ดันสร้างรถไฟฟ้าเส้นทาง 'บางนา-สุวรรณภูมิ'

กทม.เดินหน้าศึกษารูปแบบการลงทุนโครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา “บางนา-สุวรรณภูมิ” เพื่อเสนอกระทรวงมหาดไทยพิจารณา ให้ ครม.ไฟเขียว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี คาดจะสามารถเปิดให้บริการในระยะที่ 1 ได้ในปี 72 

8 เม.ย. 2565 – นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาสรุปผลการศึกษาโครงการงานจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา (Light Rail Transit) สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาข้อมูลโครงการด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์การเงินการลงทุน และด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนรูปแบบความเหมาะสมด้านการลงทุนโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำไปประกอบการศึกษาและจัดทำโครงการ ให้มีความเหมาะสม ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการสัมมนา 

ทั้งนี้ที่ปรึกษาโครงการได้นำเสนอผลสรุปการศึกษาข้อมูลโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ โครงการระบบรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีทั้งหมด 14 สถานี เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรปราการ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 จากแยกบางนา-ธนาซิตี้ จำนวน 12 สถานี ประกอบด้วย สถานีบางนา สถานีประภามนตรีสถานีบางนา-ตราด 17 สถานีบางนา-ตราด 25 สถานีวัดศรีเอี่ยม สถานีเปรมฤทัย สถานีบางนา-ตราด กม.6 สถานีบางแก้ว สถานีกาญจนาภิเษก สถานีวัดสลุด สถานีกิ่งแก้ว และสถานีธนาซิตี้ ระยะทาง 14.6 กิโลเมตร(กม.)และระยะที่ 2 จากธนาซิตี้-สุวรรณภูมิใต้ จำนวน 2 สถานี  

ทั้งนี้ประกอบด้วย สถานีมหาวิทยาลัยเกริก และสถานีสุวรรณภูมิใต้ ระยะทาง 5.1 กม. โดยโครงการแบ่งรูปแบบของสถานีไว้ 3 รูปแบบ ดังนี้ ประเภท A สถานียกระดับที่รองรับด้วยเสาเดี่ยว มีจำนวน 10 สถานี ได้แก่ สถานีประภามนตรี สถานีบางนา-ตราด 17 สถานีวัดศรีเอี่ยม สถานีเปรมฤทัย สถานีบางนา-ตราด 6 สถานีบางแก้ว สถานีวัดสลุด สถานีกิ่งแก้ว สถานีมหาวิทยาลัยเกริก สถานีสุวรรณภูมิใต้ ประเภท B สถานียกระดับที่รองรับด้วยเสาคู่ จะก่อสร้างในกรณีที่ไม่สามารถวางตำแหน่งเสาเดี่ยวได้ โครงการจำเป็นต้องออกแบบสถานีให้รองรับด้วยโครงสร้างเสาคู่ มีจำนวน 3 สถานี ได้แก่ สถานีบางนา-ตราด 25  สถานีกาญจนาภิเษก สถานีธนาซิตี้ ประเภท C สถานีระดับดิน จะออกแบบตามข้อจำกัดด้านกายภาพของพื้นที่ โดยชั้นจำหน่ายตั๋วอยู่ระดับดิน สามารถเดินเชื่อมกับสถานีบางนาของโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสได้ด้วยสะพานลอยยกระดับ (Skywalk) มีจำนวน 1 สถานี ได้แก่ สถานีบางนา 

สำหรับรูปแบบของการพัฒนาโครงการ เป็นรถไฟฟ้ารางเบา ขนาดราง 1.435 เมตร มีระบบควบคุมการเดินรถอัตโนมัติ ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางไป – กลับ 1 ชั่วโมง สามารถรองรับผู้โดยสารประมาณ 15,000 – 30,000 คน/ชั่วโมง ส่วนอัตราค่าโดยสาร กำหนดให้ค่าโดยสารในปีเปิดให้บริการ (ปี 2572) มีอัตราค่าแรกเข้า 14.4 บาท และเพิ่มขึ้นตามระยะทาง คือ 2.6 บาท ต่อ กม.โดยมีเพดานค่าโดยสารสูงสุด 45.6 บาท โดยจากการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารจะมีประชาชนเข้ามาใช้บริการในปี 2572 ที่เปิดใช้ปริการประมาณ 82,695 คน-เที่ยว/วัน และปี 2576 จะเพิ่มสูงขึ้นราว 138,744 คน-เที่ยว/วัน และในปี 2578 กรณี บริษัท ท่าอากาศยาน จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท. เปิดให้บริการท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิด้านทิศใต้ จะมีประชาชนเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 165,363 คน-เที่ยว/วัน  

 ทั้งนี้ โครงการได้ดำเนินการวิเคราะห์และศึกษารูปแบบการร่วมลงทุนและเอกชนที่เหมาะสมในการดำเนินงานโครงการ เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินงาน โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1.PPP Net Cost ในช่วงลงทุนก่อสร้าง รัฐจะเป็นผู้จัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้เอกชนก่อสร้างงานโยธาของโครงการทั้งหมด โดยเอกชนเป็นผู้ซื้อรถไฟและก่อสร้างงานระบบ ส่วนช่วงดำเนินการและบำรุงรักษา เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ และการลงทุนอื่นๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับโครงการ โดยรัฐให้สิทธิ์แก่เอกชนเป็นผู้รับรายได้และเอกชนจ่ายค่าสัมปทานหรือส่วนแบ่งของรายได้แก่รัฐ  

2.PPP Gross Cost ในช่วงลงทุนก่อสร้าง รัฐจะเป็นผู้จัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้เอกชนก่อสร้างงานโยธาของโครงการทั้งหมด โดยเอกชนเป็นผู้ซื้อรถไฟและก่อสร้างงานระบบ ส่วนช่วงดำเนินการและบำรุงรักษา เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ และการลงทุนอื่นที่จำเป็น ส่วนรัฐเป็นผู้รับรายได้ผ่านเอกชนและเป็นผู้กำหนดจ่ายผลประโยชน์แก่เอกชนในรูปแบบค่าจ้าง ตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุน  

3.PPP Modified Gross Cost ในช่วงลงทุนก่อสร้าง รัฐจะเป็นผู้จัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้เอกชนก่อสร้างงานโยธาของโครงการทั้งหมด เอกชนเป็นผู้ซื้อรถไฟและก่อสร้างงานระบบ ส่วนช่วงดำเนินงานและบำรุงรักษา เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ และการลงทุนอื่นที่จำเป็น รัฐเป็นผู้รับรายได้ผ่านเอกชนและกำหนดจ่ายผลประโยชน์แก่เอกชนในรูปแบบค่าจ้าง ตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาณร่วมลงทุนและได้รับผลตอบแทนพิเศษเพื่อเติมภายใต้กลไกการแบ่งผลประโยชน์เพิ่มเติมที่ได้ตกลงกัน 

ทั้งนี้ภายหลังการสัมมนาครั้งนี้กรุงเทพมหานคร จะดำเนินการจัดส่งรายงานสรุปผลการศึกษาและรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมของโครงการนี้ เพื่อนำเสนอกระทรวงมหาดไทยพิจารณาและให้ความเห็นชอบ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติโครงการต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ส่วนขั้นตอนการจัดทำเอกสารร่วมลงทุนและคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1.5 ปี จากนั้นขั้นตอนการก่อสร้างและทดสอบระบบใช้เวลาประมาณ 4 ปี ระหว่าง ปี 2568  – 2571 โดยคาดว่าโครงการจะสามารถเปิดให้บริการในระยะที่ 1 ได้ในปี 2572 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘อนุทิน’ สั่ง กทม.เร่งสอบที่มาป้ายโฆษณาขายพาสปอร์ตและสัญชาติ ย่านห้วยขวาง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้ทราบถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้เปิดเผยและวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างถึงกรณีมีการติดตั้งป้ายโฆษณาภาษาจีน

ชัชชาติ ลุยกินเมนูปลาหมอคางดำ แนะคนกรุงจับมาทำอาหาร สั่งห้ามเลี้ยง

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไลฟ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยเขียนแคปชั่นระบุว่า “เมนู ปลาหมอคางดำ” เผยภาพครัวที่กำลังทำอาหารเมนูปลาหมอคางดำ

ร่องมรสุมพาดผ่าน ‘กรมอุตุฯ’ เตือน 60 จังหวัด ฝนตกหนัก ‘กทม.’ ร้อยละ 70 ของพื้นที่

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง

สุทธิสาร เตรียมไร้สายสื่อสาร! MEA จับมือภาคี เดินหน้าโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน ถ.สุทธิสารวินิจฉัย

วันนี้ (9 กรกฎาคม 2567) นายทวีศักดิ์ สมานสิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง พร้อมด้วย รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล