วิธีคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หรือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ความจริงบัญญัติไว้ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่แล้วขณะนี้ก็เป็นประเด็นถกเถียงขึ้นมา เมื่อ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ออกมาเปิดเผยว่า จะใช้สิทธิ์แปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) ให้ใช้สูตรจัดสรรปันส่วนผสมในการคำนวณ
โดยเจ้าตัวระบุว่าต้องยึดตามเนื้อหาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 และมาตรา 94 ที่กำหนดเกี่ยวกับ ส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยวิธีคำนวณจะให้นับทุกคะแนนจากบัตรเลือกตั้งทั้งแบบ ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้วนำมาหารด้วย 500 ตามจำนวน ส.ส.ทั้งสภา แล้วนำคะแนนของพรรคการเมืองแต่ละพรรคมาหารด้วยจำนวนดังกล่าว จึงจะได้ ส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค พรรคใดได้ ส.ส.เขตเต็มจำนวนแล้วจะไม่ได้ ส.ส.เพิ่มเติม
อีกทั้งยังยกชื่อคนใหญ่คนโตในรัฐบาลมาแอบอ้างว่าเห็นดีเห็นงามกับแนวทางนี้ ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ทว่า หากเปิดดูของจริง รัฐธรรมนูญที่ได้แก้ไข และเพิ่งประกาศบังคับใช้ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2564 จะพบว่า มาตรา 91 บัญญัติชัดเจนว่า “มาตรา 91 การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมือง เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ การออกเสียงลงคะแนน การนับคะแนน การรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกตั้ง และการอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.”
จากประโยคที่ว่า สัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรง หมายถึงการนำคะแนนของทุกพรรคมารวมกันทั้งหมด แล้วนำไปหารด้วยจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน เรียกว่าชัดเจนที่สุด
นอกจากนี้ ในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... เอง ทั้งฉบับของคณะรัฐมนตรี และฉบับพรรคร่วมรัฐบาล ที่เสนอโดย วิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่รัฐสภาเพิ่งผ่านการรับหลักการวาระหนึ่งมา ก็แก้ไขมาตรา 128 ว่าด้วยวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ใหม่ทั้งหมด
โดยวรรคทองอยู่ที่ มาตรา 128 (2) ชัดเจนว่า “ให้นำคะแนนรวมทั้งหมดที่ทุกพรรคการเมืองได้รับ หารด้วยหนึ่งร้อย ผลลัพธ์ที่ได้ให้ถือเป็นคะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อหนึ่งคน”
ฉะนั้น การแปรญัตติแบบที่ นพ.ระวี เสนอ จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะมันคนละทิศคนละทาง คนละสูตรกัน ขนาด นิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะเลขานุการคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ยังฟันฉับ “เจตนารมณ์ของมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญที่แก้ไข คือให้หารด้วยจำนวน 100 คน เพื่อให้เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์โดยตรง ไม่ใช่ใช้จำนวน 500 คน”
จะมีก็เพียงแต่ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ กมธ.ที่ดูจะแตกเหล่า เห็นด้วยกับแนวคิดของหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ขนาด ปดิพัทธ์ สันติภาดา กมธ.ในสัดส่วนพรรคก้าวไกล ยังเคยกล่าวไว้ในที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อครั้งเสนอหลักการร่างกฎหมายลูก ว่าพรรคเห็นด้วยกับวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของฝ่ายรัฐบาล
เรื่องนี้ชัดเจนในลายลักษณ์อักษร แต่ในชั้น กมธ.ยังมีความพยายามบิดของบางฝ่ายให้ใช้สูตรหาร 500 เนื่องจากยิ่งหารมาก คะแนนที่ใช้เป็นเกณฑ์วัด ส.ส.บัญชีรายชื่อหนึ่งคนจะยิ่งน้อยลง ซึ่งเท่ากับว่าพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กจะได้ประโยชน์ด้วย
ดังนั้นต้องจับตาเป็นพิเศษ ว่ากันว่าเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ เป็นงานถนัดนักการเมือง หรือบางทีเถียงกันแทบขาดใจ สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาจประกาศยุบสภา หักมุมไปเลย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ก้าวต่อไป ‘รทสช.’ ปี 2568 ติดสปีดผลงาน-โกยคะแนน
ต้องฝ่าฟันมรสุมกันระลอกใหญ่ส่งท้ายปี 2567 สำหรับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จากพรรคน้องใหม่จนถึงปัจจุบันสู่ปีที่ 3 แล้ว ภายใต้การนำของ “พี่ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค ซึ่งพรรคได้โควตาร่วมทัพรัฐบาลเพื่อไทย และได้กระทรวงที่หมายปองมาครอบครองสมใจ
การเมืองไทยปี 68 เข้มข้น-ขับเคี่ยว-ร้อนแรง ซักฟอกมี.ค.-ปรับครม.กลางปี
การเมืองไทยไม่ว่าปีไหนๆ ก็มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นได้ตลอด บางเรื่องเกิดขึ้นตามปฏิทินการเมือง แต่บางประเด็นเป็นความร้อนแรงที่แทรกขึ้นมาแบบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
'ปชน.'ถอย'ม.112'แลกอุดมการณ์ เพิ่มคะแนนนิยม'เท้ง'เฉือน'อิ๊งค์'
ผลสำรวจความเห็นของประชาชน 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หัวข้อ ความนิยมทางการเมือง ในไตรมาส 4 ปลายปี 2567 ให้ผลที่น่าสนใจ เมื่อ 'เท้ง’- นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นนักการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดอันดับ 1
'นิกร' เชื่อแก้รธน. มาตรา 256 ฉบับพรรคส้ม โอกาสผ่านยาก เหตุหักอำนาจ สว.
นายนิกร จํานง เลขานุการกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงกรณีสภาผู้แทนราษฎร เตรียมพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และหมวด 15/1
ปี67‘อดีตสว.’ขยับสะเทือนถึงรัฐบาล ถอดถอน‘เศรษฐา’ที่มาของหลายเรื่อง
การเมืองรอบปี 2567 เหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดต้องยกให้กับศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย และทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตามมา วันนี้จึงขอบันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ยกให้เป็นเหตุการณ์แห่งปี
‘ทักษิณ’ไม่กล้าเขี่ย‘ภท.-รทสช.’
เป็นความสัมพันธ์ที่แม้แต่คนภายนอกยังมองออกว่ากระท่อนกระแท่น สำหรับความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร