เร่งเดินหน้าเปิดกาสิโน “วิษณุ”นำทีมกฤษฎีกาฯ รื้อร่าง ก.คลัง กระจุย!

การผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่าง กม.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาลเพื่อไทย ที่เร่งเดินหน้าการออกกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีการออกใบอนุญาตให้มีการเปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่จะมีการเปิด กาสิโน ซึ่งตอนนี้ถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลเพื่อไทยไปแล้ว

 ภายใต้ข้ออ้างว่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นแหล่งหารายได้เข้าประเทศแหล่งใหม่ เพราะรัฐบาลจะได้เม็ดเงินจากการออกใบอนุญาตและการจัดเก็บภาษีระดับหมื่นล้านบาท มาเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการพยายามอ้างว่า เพื่อเป็นการนำธุรกิจสีเทามาทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย และหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านไทย ก็ล้วนเปิดกาสิโนเกือบหมดแล้ว และสร้างรายได้ให้ประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะการยก สิงคโปร์โมเดล ขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการพยายามเดินหน้าเปิดกาสิโน แม้จะมีแรงต่อต้าน-คัดค้านจากประชาชนหลายภาคส่วนที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม

เรื่องนี้มีความคืบหน้าที่สำคัญ หลังกระทรวงการคลังนำร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรเข้าที่ประชุม ครม.เห็นชอบ เมื่อ 13 ม.ค.2568 ต่อมา ครม.ส่งร่างให้คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 50 วัน

หลังจากได้รับร่างฯ ดังกล่าวจากกระทรวงการคลัง ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นกฎหมายใหญ่ และมีผลกระทบทางการเมืองและสังคมสูง จึงตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ โดยมี วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ เป็นหัวหน้าทีมคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ที่พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว 

ล่าสุด คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างรับฟังความเห็นประชาชน ครั้งที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.-1 มี.ค.2568

และขั้นตอนต่อไป หลังเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 1 มีนาคม คณะกรรมการกฤษฎีกาจะประมวลสรุปส่งกลับคืนไปยังกระทรวงการคลัง และคาดว่ากระทรวงการคลังจะส่งร่างฯ ฉบับล่าสุดให้ที่ประชุม ครม.เห็นชอบในเดือนมีนาคมนี้

 สำหรับร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรดังกล่าว มีทั้งสิ้น 79 มาตรา โดยมีประเด็นสำคัญๆ เช่น เรื่อง "พื้นที่ทำกาสิโน" ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมจับตาและถกเถียงกันอย่างมาก ทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยให้มีการเปิดกาสิโน 

ในมาตรา 18 (6) ที่เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร บัญญัติไว้ว่า

“กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ต้องไม่เกินร้อยละสิบของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ในกรณีที่กาสิโนตั้งอยู่ในอาคารใดให้นับจากพื้นที่อาคารนั้นทั้งหมด”

ซึ่งร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่ได้กำหนดพื้นที่ในการทำกาสิโนไว้ชัดเจนตามร่างฯ ใหม่

สำหรับการกำหนดพื้นที่ให้ตั้งสถานบันเทิงครบวงจร ร่างฯ ดังกล่าวเขียนไว้ในมาตรา 9 ว่า  “ให้คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ ความเหมาะสมทางด้านการเงิน ตลอดจนผลกระทบและแนวทางหรือมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบดังกล่าว และความคุ้มค่าที่ประชาชนในพื้นที่และรัฐจะได้รับ โดยต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินข้างเคียง และหน่วยงานของรัฐที่ใช้ประโยชน์หรือดูแลที่ดินข้างเคียงหรือทางเข้า-ออกของที่ดินที่อาจได้รับผลกระทบจากการอนุญาตให้มีการตั้งสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร และนำผลการรับฟังความคิดเห็นเสนอคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรนำไปประกอบการพิจารณาด้วย”

ซึ่งพบว่า การให้มีการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว รวมถึงการให้มีมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบ ในการเปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีกาสิโนดังกล่าว เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นใหม่ในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ เพราะร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่มีประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่อง การเยียวยา

นอกจากนี้ ในมาตรา 10 ยังเขียนไว้อีกว่า การจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรในพื้นที่ต่างๆ ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชน ตามที่มีกฎหมายกำหนด 

ส่วนประเด็นเรื่อง ซูเปอร์บอร์ด หรือคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่เป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจมากที่สุด และที่ผ่านมาถูกวิจารณ์อย่างมากว่าร่างของ ก.การคลัง มีการให้อำนาจกับคณะกรรมการมากเกินไป จนถูกเรียกว่า ตีเช็คเปล่า ให้กับกรรมการที่ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง คือรัฐมนตรีในตำแหน่งต่างๆ และคนจากฝ่ายการเมืองตั้งไปเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 

พบว่า ร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ยังคงให้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นรองประธาน พร้อมคณะกรรมการอีก 15 คน โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน ให้อำนาจนายกฯ เป็นคนแต่งตั้ง

ส่วนอำนาจหน้าที่ของซูเปอร์บอร์ด ร่าง กม.กาสิโนตามร่างของกฤษฎีกา พบว่าส่วนใหญ่ยังเหมือนกับร่างเดิมของ ก.การคลัง เช่น เสนอแนะการกำหนดพื้นที่ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และแนวทางการกำหนดจำนวนใบอนุญาต ที่ก็คือให้อำนาจกับซูเปอร์บอร์ด ในการกำหนดว่าจะให้เปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในจังหวัดใด พื้นที่ใดได้บ้าง และกำหนดว่าจะให้ออกใบอนุญาตเปิดได้กี่ใบ หลังกฎหมายประกาศใช้-กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต เป็นต้น

ในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ เขียนไว้อีกว่า ผู้จะได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร-กาสิโนได้ จะต้องประกอบด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อย 4 ประเภท ร่วมกับกาสิโน และต้องเป็น บริษัท จำกัด หรือบริษัท มหาชน จำกัด ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ใบอนุญาตมีอายุ 30 ปี และประเมินผลการดำเนินงานทุก 5 ปี เมื่อใบอนุญาตครบอายุ ให้คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจให้การพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตได้คราวละไม่เกิน 10 ปี

ที่น่าสนใจ คณะกรรมการกฤษฎีกาเขียนเรื่องบุคคลสัญชาติไทย ซึ่งจะเข้าไปในกาสิโนว่าต้องมีอายุเกิน 20 ปี-ต้องลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด และที่สำคัญ ต้อง มีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่มีเรื่องเงินในบัญชี 50 ล้านเขียนล็อกไว้

นอกจากนี้ยังเขียนไว้อีกว่า ผู้รับใบอนุญาตจะต้องจัดให้มีระบบการควบคุมกาสิโนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และจะต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากสถานบันเทิงครบวงจรไม่ต่ำกว่าที่ได้ยื่นไว้ขณะขออนุญาต

อีกทั้งพื้นที่กาสิโนต้องจัดให้มีเขตบริเวณของกาสิโนแยกเป็นเอกเทศจากสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงอื่น และผู้รับใบอนุญาตต้องควบคุมไม่ให้ผู้เข้าไปในกาสิโนมีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมหลายอย่าง เช่น การค้าประเวณี รวมถึงต้องจ้างผู้มีสัญชาติไทยเป็นพนักงานในสถานบันเทิงครบวงจรตามสัดส่วนที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด เป็นต้น

ซึ่งรายละเอียดข้างต้นดังกล่าว พบว่าในร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่มีการเขียนไว้แบบลงรายละเอียดมากเท่ากับร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ

และหาก ครม.ผ่านความเห็นชอบร่างดังกล่าวของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ จากนั้น รัฐบาลจะเสนอร่างฯ ไปที่สภาฯ ที่คาดว่าจะมีทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เสนอร่าง พ.ร.บ.ประกบกับร่างของ ครม.

ส่วนว่า ฝ่ายรัฐบาลจะเร่งอย่างหนัก ถึงขนาดส่งไปให้สภาฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบวาระแรกก่อนปิดสมัยประชุมเดือนเมษายนหรือไม่ ดูไทม์ไลน์แล้ว ถ้าเป็นร่างกฎหมายปกติคงไม่ทัน

ยกเว้นแต่ทักษิณ-เพื่อไทยจะเร่งสปีดอย่างหนัก สั่งวิปรัฐบาลดันขึ้นมาเป็นวาระเร่งด่วน ทำนองจะเอาให้ได้นั่นเอง

แต่เชื่อได้ว่า เมื่อมีการส่งร่างฯ เข้าสภาฯ กระแสสังคมที่ไม่เห็นด้วยกับการให้ประเทศไทยมีกาสิโนจะก่อตัวมากขึ้น จนทำให้รัฐบาลต้องชะลอเรื่อง เพราะหากแรงต้านกาสิโนสูง รัฐบาลคงไม่อยากเสี่ยงลุยไฟให้เปลืองตัว สู้ผ่อนเครื่องลง แล้วค่อยๆ เดินไปอาจปลอดภัยทางการเมืองย่อมดีกว่า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘อิ๊งค์’สะกดอารมณ์ฝ่าซักฟอก2วัน รอลุ้นคะแนนโหวต-งูเห่าสมทบ!

ผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ใช้เวลา 2 วัน 24-25 มีนาคม ก่อนลงมติวันนี้ 26 มีนาคม 2568 ซึ่งลีลาของ “นายกฯ อิ๊งค์” ในการแจงข้อซักฟอกถือว่าสามารถสะกดอารมณ์ได้ดี ไม่ปล่อยหมัดเด็ดตรงๆ ใส่ฝ่ายค้าน แต่ใช้ความนิ่งตอบเจ็บๆ ในบางช่วงเช่นกัน

‘ฝ่ายค้าน’ซักฟอก‘นายกฯอิ๊งค์’ ขยายแผล ปูทาง ยื่น 'ป.ป.ช.'

เปิดฉากกันไปแล้ว ศึกซักฟอก อุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้คอนเซปต์ ‘ดีลแลกประเทศ’ วันแรก ไฮไลต์สำคัญ ช่วงเช้าหนีไม่พ้นการเปิดหัวของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และการลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ระเบิดศึกซักฟอก ดีลแลกประเทศ ขยี้"นายกฯอิ๊งค์"ขย้ำ"ทักษิณ"

หลังการเมืองไทยว่างเว้นจากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจมาร่วม 2 ปีเศษ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ค.2565 ตอนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาวันนี้สิ้นสุดการรอคอยกับศึกซักฟอก-เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ซักฟอก ‘ดีลแลกประเทศ’ ฟ้องสังคม ‘ชินวัตร’ ได้อะไร

จับตาอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม ตั้งแต่เช้าจนถึงตี 5 และลงมติในวันที่ 26 หรือ 27 มีนาคมนี้ ภายใต้ธีม

สแกนข้อมูล‘ฝ่ายแค้น’ แตกหักหรือแบล็กเมล

นอกจากบทบาทของพรรคประชาชน (ปชน.) ในการซักฟอกระหว่างวันที่ 23-24 มี.ค. ต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้ธีม “ดีลแลกประเทศ” ว่า สุดท้ายจะทำหน้าที่สมศักดิ์ศรีหรือไม่ 

โหมโรงศึกซักฟอก “ดีลแลกประเทศ”

ภายหลังที่ประชุม ‘วิป 3 ฝ่าย’ ได้ข้อยุติกรอบเวลาใน ‘การอภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ทั้งหมด 37 ชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 24 มี.ค. แบ่งเป็น ฝ่ายค้าน 17 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลรวมกับคณะรัฐมนตรี 3.5 ชั่วโมง และประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 21.5 ชั่วโมง คาดว่าหากมีการเริ่มอภิปรายในเวลา 08.00 น. จะเลิกในเวลา 05.30 น. ของวันที่ 25 มี.ค.