“ต้องจับตาดูว่าการเสนอญัตติในนามพรรคเพื่อไทยด้วยตัวเอง ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำประชามติกี่ครั้ง จะเป็นแค่อีกหนึ่งพิธีกรรมและกลเกมการเมืองตลบตะแลง เพื่อยื้อการแก้รัฐธรรมนูญ โดยขาดความจริงจัง จริงใจ อีกเช่นเคยหรือไม่”
ก่อนหน้านี้ไม่เพียงแค่พรรคประชาชน (ปชน.) จะมุ่งมั่นแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเท่านั้น ยังมีพรรคเพื่อไทยที่มีความขึงขังไม่แพ้กัน โดยยื่นร่างแก้ไขประกบเว้นการแก้หมวด 1 และหมวด 2 ตามนโยบายหาเสียง และยังถูกบรรจุในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยประกาศจะรีบเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
ถึงขนาดให้ สส.ในพรรคเพื่อไทยออกมากดดันพรรคร่วมรัฐบาล หากใครไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
รวมทั้งก่อนหน้านี้ยังเคยด่า “อีแอบ” ระหว่างออกแคมเปญ 180 วัน รอได้ หลังพรรคภูมิใจไทยและวุฒิสภาสายสีน้ำเงินไม่ยอมแก้ไขกฎหมายประชามติ ปลดล็อกเสียงข้างมากเด็ดขาด 2 ชั้น มาเป็นเสียงข้างมากธรรมดา จนเป็นเหตุให้กฎหมายพักการพิจารณาไป 180 วัน และพิจารณาอีกครั้งในช่วงเดือน ก.ค.นี้
ประกอบกับแกนนำพรรคเพื่อไทยอย่าง ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย ประกาศเดินหน้าเต็มพลังด้วยการทำประชามติเพียง 2 ครั้ง เพื่อไปสู่เป้าหมายแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้สำเร็จ หรืออย่างน้อยขอให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะมั่นใจในอำนาจของรัฐสภาในการตรากฎหมาย มิควรให้องค์กรอื่นมาก้าวล่วง
หลังประธานรัฐสภามีความเห็นทางกฎหมายใหม่ ให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยบรรจุในระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
เช่นเดียวกับ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย ก็มีความมั่นใจว่าสามารถแก้ไขได้เลย
“พวกผมไม่ได้ยื่นญัตติไปศาลรัฐธรรมนูญ แต่พรรคอื่นไม่ทราบว่าเขาคิดอย่างไร ในนามพรรคเพื่อไทยคงไม่ทํา เพราะเราอยากแก้รัฐธรรมนูญ”
ความดึงดันดังกล่าว ท่ามกลางข้อท้วงติงมากมาย โดยเฉพาะจากสำนักกฎหมายของวุฒิสภา โดย มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสือถึง วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ก่อนวันพิจารณา โดยเห็นว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2567 มาเป็นหลักในการพิจารณา
ว่า “...รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ
“เราก็แถลงชัดเจนแล้ว หากมีการแก้ไขหมวด 15/1 พรรคภูมิใจไทยไม่สามารถร่วมพิจารณาได้ เพราะพรรคตีความเรื่องนี้แล้วเห็นว่ามีความเสี่ยงจริงๆ ทั้งต่อ สส. กรรมการบริหารพรรค และการดำรงอยู่ของพรรค” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว
เนื่องจากหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา อาจเปิดช่องให้บุคคลภายนอกยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ เพราะเป็นการกระทำที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยวางหลักเกณฑ์การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ไว้แล้ว
นอกจากนั้น สส.และ สว.ยังสามารถเข้าชื่อกันยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรา 256 (9) ได้ว่าการลงมติวาระที่ 3 ขัดมาตรา 255 เพราะรัฐสภาไม่มีอำนาจหน้าที่ในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ รวมถึงยังถูกยื่นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกด้วย
ซึ่งความผิดดังกล่าวไม่เพียงแต่ สส.จะพ้นจากตำแหน่งแล้ว ยังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองและถูกยุบพรรคการเมืองด้วย คล้ายคลึงกับกรณีพรรคก้าวไกล ที่แค่เคยหาเสียงเลือกตั้ง และอดีต 44 สส.เคยยื่นเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยยังไม่มีการบรรจุระเบียบวาระการประชุม ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคและตัดสิทธิ์การเมืองมาแล้ว ล่าสุด อดีต 44 สส.ก้าวไกลถูก ป.ป.ช.แจ้งหนังสือมาให้รับข้อกล่าวหาแล้วว่าจะฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
คำเตือนเหล่านี้มีหรือพรรคเพื่อไทยจะไม่รู้ แต่ยังเลือกที่เล่นเกมการเมืองผลักดัน หวังผลการเมืองเพื่ออ้างว่าทำตามสัญญาแล้ว และโยนความผิดให้ผู้ขัดขวาง จนถลำลึกมาถึงการพิจารณาในรัฐสภาในวันที่ 13-14 ก.พ. จนสุดท้ายเกิดอาการปากกล้าขาสั่นเพราะเสียงเตือน แต่จะถอยยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเองก็ไม่ได้ เพราะจะเสียเชิงการเมือง และถูกสังคมต่อว่าว่าตระบัดสัตย์อีกครั้ง
จนสุดท้ายต้องไปขอตัวช่วยให้ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ วุฒิสภาสายสีขาว มาเป็นนอมินีออกหน้าเสนอญัตติแทนตัวเอง ส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าต้องทำประชามติกี่ครั้งในสภาวันที่ 13 ก.พ. ให้เลื่อนมาพิจารณาก่อนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย
ในญัตติดังกล่าวกลับปรากฏว่ามีชื่อ สส.พรรคเพื่อไทยหมกเม็ดเข้ามาร่วมด้วย อาทิ สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค, มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะ สส.นครพนม, นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สส.บัญชีรายชื่อ รวมอยู่ด้วย จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในโลกจริงและโลกโซเชียลว่าเป็นอีแอบหรือไม่ เพราะก่อนหน้าบอกจะไม่เป็นผู้เสนอ
ความกลัวของพรรคเพื่อไทยยังไม่หยุด เมื่อถึงขั้นตอนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังญัตติของ สว.เปรมศักดิ์ ไม่สามารถเลื่อนขึ้นได้ดังที่ตั้งใจไว้ เพราะมติรัฐสภาไม่อนุญาต
โดยขั้นตอนต่อไปก็ต้องพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ร่างดังกล่าว และกังวลว่าหากร่วมขบวนการอาจจะเข้าองค์ประกอบให้เกิดความผิดสำเร็จหรือไม่
จึงแก้เกมให้ นพ.เปรมศักดิ์ เสนอนับองค์ประชุมหวังให้สภาล่มไปก่อน ขอเวลาไปตั้งหลักแก้เกมภายหลัง
แต่ก็ยังไม่วายกลัวเสียภาพลักษณ์ ระหว่างนับองค์ประชุม ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ประกาศกลางสภาว่า “พรรคเพื่อไทยพร้อมจะเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 13 ก.พ.นี้”
แต่ถูก พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ออกมาหักหน้า โดยเสนอให้ประธานสภาฯ ตรวจสอบเครื่องกดบัตรแสดงตน เพราะมีการลงชื่อเพียง 180 คน ในขณะที่ สส.พรรคเพื่อไทยมี 140 คน ส่วน สส.พรรคประชาชนมี 140 คน เหตุใดรวมกันจึงมีเพียง 180 คน
กระทั่งท้ายสุดที่ประชุมก็ล่มไปตามความจงใจของพรรคเพื่อไทย โดยมีรายชื่อ สส.หายไปถึง 120 เสียง จาก สส.ทั้งพรรค 142 เสียง
เช่นเดียวกับวันที่ 14 ก.พ. เมื่อประธานรัฐสภานัดประชุมอีกครั้ง พรรคเพื่อไทยก็ไม่ร่วมเป็นองค์ประชุม และทำให้สภาล่มซ้ำสองตามเคย
พร้อมคำแก้ตัวว่า “ขอเดินทางอ้อมเพื่อรักษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ไม่ให้ถูกตีตก” พร้อมเลิกพฤติกรรมเป็นอีแอบอยู่หลัง สว.
โดยจะรวบรวมรายชื่อ สส.ของพรรคเพื่อไทยให้เกิน 40 คน เสนอญัตติของตัวเองเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 โดยจะเสนอให้ประธานรัฐสภาบรรจุวาระและมีมติเลื่อนขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาอยู่ 2 ฉบับให้เร็วที่สุด และหวังว่าจะให้ศาลตีความทำประชามติกี่ครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแก้รัฐธรรมนูญ
“กรณีที่พรรคประชาชนบอกว่าเคยยื่นไปแล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับ ตอนนั้นยังไม่มีข้อขัดแย้ง เพราะยังไม่เข้าสู่สภา แต่วันนี้เราจึงทำให้องค์ประกอบนั้นชัด คือยื่นเข้าสภาและมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว ฝ่ายหนึ่งบอกบรรจุไม่ได้ อีกฝ่ายบอกบรรจุได้ จึงเชื่อว่าสาเหตุองค์ประกอบที่ครบแล้วศาลจะรับและตีความออกมา เราหวังอย่างนั้นและจำเป็นต้องเดินแบบนี้ เราต้องลงทุน ซึ่งอาจมีคนที่ไม่เข้าใจ เราก็ยอมให้ตำหนิ แต่เชื่อว่าเมื่อจบไปสู่เป้าหมายแล้ว ทุกคนจะเข้าใจเรา” สุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าว
ขณะที่พรรคประชาชน โดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคสีส้ม เรียกร้องให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงมาควบคุมเสียงพรรคร่วมรัฐบาล และจริงจังแก้รัฐธรรมนูญตามที่เคยสัญญากับประชาชนไว้ หากทำไม่ได้ก็ ยุบสภา แสดงความรับผิดชอบ มิใช่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาอยู่เช่นนี้ และต้องทำมากกว่าคำแก้ตัว ไม่ใช่หน้าอย่าง หลังอย่าง หรือ ไม่ได้ตีสองหน้า อย่างที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ออกมาปฏิเสธ หรือ เพื่อไทยวิธี อย่างเรื่องอื่นๆ ที่เคยสัญญาไว้ แต่เดินอ้อม ทำไม่ได้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ต้องจับตาดูว่าการเสนอญัตติในนามพรรคเพื่อไทยด้วยตัวเอง ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำประชามติกี่ครั้ง จะเป็นแค่อีกหนึ่งพิธีกรรมและกลเกมการเมืองตลบตะแลง เพื่อยื้อการแก้รัฐธรรมนูญ โดยขาดความจริงจัง จริงใจ อีกเช่นเคยหรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชาวเน็ตแซะ ‘แพทองธาร’ สกิลปากดีส่งต่อทางสายเลือด โต้ปมเสียภาษี!
ชาวเน็ตขุดคำพูดเก่า “ทักษิณ” เทียบวาทะ “แพทองธาร” กลางสภา หลังนายกฯ ตอกกลับฝ่ายค้าน ปมเสียภาษี
ชาวเน็ตวิจารณ์ยับ ‘ก่อกี้’ ประท้วงถี่ แขวะเอาใจนาย อยากได้เก้าอี้มั้ง!
ชาวเน็ตถล่ม “ก่อแก้ว พิกุลทอง” สส.เพื่อไทย ประท้วงถี่ไม่ดูข้อบังคับ สวนทาง ‘ทีมองครักษ์พิทักษ์ข้อบังคับการประชุม ’ แขวะเอาใจนาย อยากเป็นรมต.มั้ง
ชมสด! อภิปรายไม่ไว้วางใจ 'แพทองธาร ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายยกรัฐมนตรี
นักวิเคราะห์ฯ ให้คะแนนซักฟอก ‘บิ๊กป้อม’ 8 ’วิโรจน์’ 8.5 นายกฯ ได้ 1 จากเต็ม 10
สมชัย-อดีตกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ให้คะแนนการอภิปรายครึ่งวันแรก ผู้นำฝ่ายค้านได้ 6.5 คะแนน พล.อ.ประวิตร 8 คะแนน นายกฯ แพรทองธาร 1 คะแนน ส่วนวิโรจน์ได้ 8.5 คะแนน หลังจากซักฟอกปม ‘นิติกรรมอำพราง’
‘รักชนก’ เดือด! จี้ ‘วันนอร์’ วางตัวเป็นกลาง ก่อนถูกปิดไมค์ ลุกพ้นห้องประชุม
สส.รักชนก พรรคประชาชน ประท้วงกลางสภาฯ หลังมองว่าประธานสภาฯ ไม่วางตัวเป็นกลางและสร้างมาตรฐานต่ำลง ก่อนถูกปิดไมค์ตัดบท จนเจ้าตัวไม่พอใจ ลุกเดินออกจากห้องประชุม ขณะที่วิปฝ่ายค้านลุกขึ้นย้ำให้เคารพสิทธิ์ในการอภิปราย
ทุบ 'นายกฯอิ๊งค์' ขาดภาวะผู้นำแก้ฝุ่น PM 2.5 รัฐมนตรีไม่เห็นค่า หน่วยงานไม่เห็นหัว
นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ปี 2567 เป็นปีที่ประเทศของเราต้องเจอกับภัยพิบัติที่รุนแรง เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภัยแล้ง และฝุ่นพิษ แต่ภัยพิบัติหนักที่สุดที่ประเทศไทยต้องเจอ คือการมีนายกรัฐมนตรี