นายกอบจ.'ปชน.'พลาดเป้า ปัจจัยภายใน เหตุแพ้ซ้ำซาก

ภายหลังปรากฏผลคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) อย่างไม่เป็นทางการ ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคประชาชน (ปชน.) ได้ผู้ชนะนายก อบจ.เพียง 1 คน จากการส่ง 17 ผู้สมัคร ในการเลือกตั้ง 47 จังหวัด

ขณะที่จำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทั่วประเทศ ได้รับความไว้วางใจทั้งหมด 132 คน จาก 33 จังหวัด แบ่งเป็น จังหวัดที่พรรคส่งผู้สมัครนายก อบจ. 80 คน และจังหวัดที่พรรคไม่ได้ส่งผู้สมัครนายก อบจ.อีก 52 คน

โดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เอ่ยคำขอโทษว่า "พวกเราอาจจะยังรณรงค์ในการให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในระดับท้องถิ่น หรือ อบจ. ไม่แข็งขันพอ ทำให้ในวันนี้ เราอาจจะยังมีนายก อบจ.ที่ไม่มากพอ”

พร้อมย้ำความเชื่อมั่นว่า “อบจ.จังหวัดลำพูน จะเป็นสนามแรกที่จะพิสูจน์ให้กับประชาชนเห็น ว่าการทำงานการเมืองท้องถิ่นตามแบบฉบับของพรรคประชาชน จะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศได้"

ด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พยายามปลอบใจฐานเสียง "จาก 0 มา 1 ถือว่าชนะเยอะแล้ว แม้ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาด แต่หลายคนในพรรคก็ยังรู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ทำงาน เรียกว่าแพ้ไม่ได้แน่นอน"

ก่อนมองภาพใหญ่ในปี 70 ว่า "ผลการเลือกตั้งที่ออกมานี้ คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่จะเกิน 250 หรือเปล่า ไม่รู้ เพราะไม่มีจังหวัดไหนที่ได้น้อยกว่าปี 63"

ขณะที่ นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค ปชน. กล่าวถึงปรากฏการณ์ ‘Saturday Effect’ สำหรับการเลือกตั้งในวันเสาร์ ว่าเมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ดู พบสิ่งที่น่าสนใจ คือมีจำนวนสัดส่วนผู้มาใช้สิทธิ์ลดลง จาก 62 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 55 เปอร์เซ็นต์ หรือหายไปกว่า 2,100,000 คน ซึ่งจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ที่ลดลงนี้ ก็อาจจะส่งผลต่อคะแนนการเลือกตั้งด้วย

และยกตัวอย่าง จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ จันทบุรี ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี และระยอง ซึ่งล้วนแต่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรค

โดยเฉพาะเชียงใหม่ นครนายก สมุทรปราการ ตราด และสมุทรสงคราม ที่มีคะแนนห่างกันไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์นั้น

ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตมุมกลับว่า ควรจะย้อนกลับมามอง ‘การทำงานภายในพรรค’ เองมากกว่าหรือไม่ เนื่องจากหากจะอ้างเพียงจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ ก็คงยังไม่เพียงพอ ‘สำหรับความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า’

อาทิ ‘เปิดตัวผู้สมัคร อบจ.ช้า’ เนื่องจากกระบวนการคัดสรร จนมีเวลาแนะนำตัวไม่มากพอ ทำคะแนนสู้คู่แข่งในพื้นที่ไม่ได้ โดยเฉพาะการปิดจุดบอดใน ‘เขตรอบนอกเมือง’

 ‘การสื่อสาร’ เข้าไม่ถึงคนส่วนใหญ่ ที่ยังคงเป็นปัญหามาโดยตลอด ทั้ง ‘นโยบาย’ ที่ตัวผู้สมัครซึ่งเป็นคนนำเสนอเอง ยังเข้าใจไม่เท่ากัน และ ‘ประชาชนไม่มีส่วนร่วม’ เข้าไม่ถึงข้อมูล ไม่แม้กระทั่งรับรู้ รับทราบ เนื่องจากไม่มีการเผยแพร่ปราศรัย หรือผลงานของผู้สมัครเพียงพอ

 ‘ส่วนกลางดูแลไม่ทั่วถึง’ ทั้งด้านประสานงาน ตารางการลงพื้นที่ ไม่มีความชัดเจนแน่นอน หรือแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย อย่างป้าย จนหนีไม่พ้นการถูกแอบอ้าง

 ‘แย่งพื้นที่สื่อไม่ได้’ ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุด ในวันที่ ‘นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี’ ลงพื้นที่

'ไม่มีการตลาดในการหาเสียง’ ใช้แนวทางเดิมๆ ตามการเลือกตั้งใหญ่ อาศัยพึ่งพาแกนนำหน้าเก่าลงพื้นที่ โดยเฉพาะ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่ยังคงรักษาสปอตไลต์ได้มากที่สุดในพรรค

จุดใหญ่ที่สุดคือ ‘พรรคคุมคนตัวเองไม่อยู่’ เนื่องจากการมีหลายกลุ่มก้อนของ สส. ทำให้ไม่มีความเป็นเอกภาพภายใน ตลอดจนความไม่กินเส้นกัน ระหว่างทีม อบจ.และ สส.เขต เนื่องจากแคนดิเดตที่ตัวเองหามา พรรคไม่เลือก จึงไม่ลงไปช่วย

เพราะหากมองเจาะไปในพื้นที่ 'นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ว่าที่นายก อบจ.ลำพูน' เป็นหนึ่งในคนที่ได้ร่วมเดินทางมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ เคยอยู่ในทีมจังหวัด จนได้มาเป็นผู้สมัครของพรรคประชาชน จากการต่อสายตรงของ นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล

แต่ นายวีระเดช ก็ยังมีพื้นฐานจาก 'ตระกูลท้องถิ่น' เช่นเดียวกับคู่แข่ง เนื่องจากเป็น ‘บุตรชายของอดีตนายก อบจ.’ ซึ่งทำให้ได้แต้มต่อมากกว่าผู้สมัครคนอื่นมาก และทำให้การฟาดฟันในครั้งนี้ อาจจะใช้คำว่า 'โค่นบ้านใหญ่' ได้ไม่ถนัดปากนัก

สวนทางกับจังหวัดอื่นๆ ที่ผู้สมัครไม่ได้มีพื้นฐานทางการเมือง หรือได้รับแรงสนับสนุนมากเพียงพอ ทำให้แนวทาง ‘ขายนโยบาย’ เพียงอย่างเดียว ไม่สัมฤทธิผล เนื่องจากคนในพื้นที่ ‘ไม่ซื้อ’ ตัวผู้สมัคร

ทั้งนี้ การเลือกตั้งท้องถิ่น ระบบอุปถัมภ์ ยังฝังแน่น ประชาชนจะเลือกผู้สมัครที่มีความผูกพันกันในพื้่นที่ มากกว่าเลือกพรรคการเมืองหรือนโยบายทางการเมืองเหมือนการเลือกตั้งระดับชาติ แต่ปัจจัยภายในพรรคก็มีส่วนสำคัญในการเพิ่มคะแนนเสียง

ความหวังสุดท้ายคงต้องฝากไว้ที่จังหวัดลำพูน เมื่อได้อำนาจบริหารในมือแล้ว จะทำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะนโยบาย ‘น้ำประปาดื่มได้’ เพราะหากทำได้ไม่ดี หรือไม่สามารถทำผลงานจนเป็นที่ประจักษ์ได้จริง

จะทำให้ฐานเสียงเสียศรัทธามากกว่าเดิม และจะพาลกลายเป็น Butterfly Effect ในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปเช่นเดียวกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568

‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง

ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

ศึกเลือกตั้งรอบใหม่ กับ 'สามก๊กฉบับชาติวิบัติ' ภาค 3

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามก๊กฉบับชาติวิบัติ ภาค 3 (มีการปรับเปลี่ยนฝ่ายและชื่อตัวละครให้สอดคล้องสถานการณ์)

'โรม' โวยโดนปั่นกระแส 'ทหารมีไว้ทำไม' หวังดิสเครดิตเลือดตั้ง ลั่น ปชน.แค่อยากเห็นทหารอาชีพ

'โรม' เดือดซัด 'นักการเมือง' ฝั่งตรงข้าม ใช้เหตุปะทะชายแดนมาโจมตีพรรคส้ม กล่าวหา 'ปชน.' เกลียดทหาร ฉะ นักการเมือง-ข้าราชการสีเทา เอื้อประโยชน์แก๊งสแกมเมอร์-กินเงินเดือนจาก 'ฮุน เซน'

ปชน. เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส. 5 เขตจังหวัดพิษณุโลก ส่ง 'ณฐชนน' แก้มือเขต 1 อีกรอบ

พรรคประชาชนจังหวัดพิษณุโลกจัดการประชุมไพรมารีโหวต (Primary Vote) เพื่อรับรองว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค