ชื่อ ‘วิษณุ เครืองาม’ ไม่เคยหายจากการเมืองไทย นั่นอาจเป็นเพราะคุณสมบัติในความเป็น ‘เนติบริกร’ ดังที่มีการตั้งฉายากัน
ล่าสุดชื่อของ ‘วิษณุ’ กลับมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนที่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดึงมาเป็น ‘ที่ปรึกษาของนายกฯ’ คอยช่วยสกรีนเรื่องต่างๆ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ตลอดจนช่วยดูเรื่องข้อต่อสู้ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ครั้งนี้ชื่อของ ‘เนติบริกร’ กลับมา แต่ไม่ได้มีตำแหน่งในทางบริหาร หรือตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล แต่เป็น ‘ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ’ เพื่อปรับถ้อย ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ....หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา หลังจาก ครม.มีมติเห็นชอบกฎหมายฉบับนี้ไปเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา
สำหรับ ‘คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ’ เป็นการแต่งตั้งภายในของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยจะเลือกเอากรรมการกฤษฎีกาและผู้ทรงคุณวุฒิบางคนในคณะต่างๆ จากทั้งหมด 14 คณะ มารวมกัน เพื่อดูเรื่องสำคัญโดยเฉพาะ
โดยเรื่องนี้มีการแต่งตั้ง ‘วิษณุ’ ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 2 (กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน) เป็นประธาน พร้อมกับกรรมการกฤษฎีกาคนอื่นๆ อาทิ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 13 (กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐ) นายธงทอง จันทรางศุ รองประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 8 (กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และการกีฬา) นายไพโรจน์ วายุภาพ กรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 11 กฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งและทางอาญา
หลักในการเลือกกรรมการกฤษฎีกามาเป็น ‘คณะพิเศษ’ จะเลือกเอาผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องและมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นมานั่ง
สำหรับ ‘วิษณุ’ ที่ได้นั่งเป็นประธาน เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
อย่างไรก็ดี จะด้วยความบังเอิญ หรือความจงใจที่ ‘วิษณุ’ มาเกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญของรัฐบาลอีกครั้ง แต่มันทำให้ได้รับการจับตามองอย่างมาก เพราะจุดเด่นของเนติบริกรรายนี้ที่หลายรัฐบาลเรียกใช้นั่นคือ ‘การทำอย่างไรไม่ให้ผิด’
ขณะที่เรื่อง ‘เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ คือ เมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ตั้งธงเอาไว้ว่า ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้
ซึ่งตัวกฎหมายฉบับนี้มีปัญหาอยู่หลายจุด ดังข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ส่งไปให้ประกอบการพิจารณาของ ครม.ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเรื่องวัตถุประสงค์ที่ไม่ชัดเจนว่า ต้องการผลักดันนโยบายแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นหลัก หรือจะเป็นไปตามข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎรที่มุ่งแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย
กฎหมายฉบับนี้ดูมุ่งเน้น ‘กาสิโน’ มากเกินไป เพราะหากจะทำแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destination) ซึ่งยังมี สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า และอื่นๆ อีก ควรจะเขียนครอบคลุมมากกว่านี้
ที่สำคัญ เกี่ยวข้องกับอีกหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอื่นๆ แต่กลับไม่ได้เขียนครอบคลุมขนาดนั้น
ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องการจากคณะกรรมการกฤษฎีกา คือ ให้ช่วยปรับถ้อยคำให้ถูกต้อง และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
กล่าวคือ ช่วยทำให้มันถูกต้อง และทำให้มันไม่ผิด โดยที่จุดมุ่งหมายในการทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ยังอยู่ และเดินหน้าไปได้
โดยรัฐบาลได้ส่ง 2 รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง คือ นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ และนายฉัตริน จันทร์หอม เข้ามาคอยอธิบายหลักคิดและแนวทางของรัฐบาลให้คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษฟัง เพื่อให้ปรับถ้อยคำได้ถูกต้องตามที่รัฐบาลต้องการ
และสอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล กฤษฎีกาไม่เกี่ยวข้อง เราพยายามจะทำให้กฎหมายครอบคลุม
“เราเป็นเหมือนพ่อครัวที่คอยปรุงใส่วัตถุดิบตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ถ้ามีบางอย่างที่เขาไม่ต้องการ เราก็ทักท้วง แต่ถ้ายืนยันจะเป็นแบบนั้นก็ต้องตามใจลูกค้า”
เมื่อ ‘ธง’ ของรัฐบาลไม่เปลี่ยน คือ เดินหน้า ‘กฤษฎีกา’ จึงมีหน้าที่ปรับถ้อยคำให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มันครอบคลุมและถูกหลักกฎหมาย
และแน่นอนว่า คนที่เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมาย และการบริหารราชการ ซ้ำยังตอบโจทย์หลักรัฐศาสตร์ในประเทศนี้มีเพียงไม่กี่คน และคนแรกๆ ที่นึกถึงกันคือ คนชื่อ ‘วิษณุ เครืองาม’
จะจงใจหรือไม่จงใจ แต่มันช่วยสร้างความมั่นใจให้กับรัฐบาลได้ อย่างน้อยมันได้ผ่านตา ผ่านมือกฎหมายที่โชกโชนการทำงานให้รัฐบาลมาแล้วหลายชุด รวมถึงรัฐบาลชุดที่แล้วอย่าง ‘วิษณุ’
มันสามารถหยิบเอาไปอ้าง เอาไปสร้างความชอบธรรมในทางการเมืองได้ในระดับหนึ่ง รวมไปถึงการหยิบไปเป็นสัญลักษณ์ ในฐานะคนที่เคยทำงานกับกลุ่มอำนาจเก่ามาก่อน
แต่อย่างไรก็ดี การผ่านมือคณะกรรมกฤษฎีกา คณะพิเศษ ที่มีชื่อของซือแป๋ทางกฎหมายชื่อดังหลายคน ไม่ได้การันตีว่า ทุกอย่างจะราบรื่น ง่ายดาย เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะมันยังมีปัจจัยอะไรอีกหลายอย่างที่เป็นตัวตัดสิน โดยเฉพาะ ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ที่จำเป็นต้องอาศัยเสียงในสภาล่างและสภาสูง
อีกประการคือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นที่หน่วยงานให้คำปรึกษาทางกฎหมายของรัฐบาล ความเห็นหรือข้อสังเกต ไม่ได้เป็นที่สุดทางกฎหมาย หลายๆ ครั้ง หลายๆ เรื่อง ไม่สามารถช่วยให้รัฐบาลรอดพ้นเมื่อไปต้องถึงชั้นศาล และองค์กรอิสระ
ที่สำคัญ หลายเรื่องที่ ‘วิษณุ’ มาช่วย มาดู ก็ไม่ได้การันตีว่า จะชนะ หรือถูกต้องเสมอไป เฉกเช่นกรณีของ ‘เศรษฐา’
แต่ก่อนอื่น ต้องจับตาดูก่อนว่า ร่างกฎหมายที่ถูกปรับถ้อยคำแล้วจะออกมาหน้าตาอย่างไร และรัฐบาลจะพลิกแพลงจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ ปรับถ้อยคำแล้วด้วยหรือไม่
กำหนด 50 วัน ที่รัฐบาลเดดไลน์ไว้ อีกไม่นานคงได้เห็น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ฝ่ายค้าน’ซักฟอก‘นายกฯอิ๊งค์’ ขยายแผล ปูทาง ยื่น 'ป.ป.ช.'
เปิดฉากกันไปแล้ว ศึกซักฟอก อุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้คอนเซปต์ ‘ดีลแลกประเทศ’ วันแรก ไฮไลต์สำคัญ ช่วงเช้าหนีไม่พ้นการเปิดหัวของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และการลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ทุบ 'นายกฯอิ๊งค์' ขาดภาวะผู้นำแก้ฝุ่น PM 2.5 รัฐมนตรีไม่เห็นค่า หน่วยงานไม่เห็นหัว
นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ปี 2567 เป็นปีที่ประเทศของเราต้องเจอกับภัยพิบัติที่รุนแรง เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภัยแล้ง และฝุ่นพิษ แต่ภัยพิบัติหนักที่สุดที่ประเทศไทยต้องเจอ คือการมีนายกรัฐมนตรี
ชำแหละ 'อิ๊งค์' ใช้อำนาจนายกฯ ฮุบที่ดิน 'อัลไพน์' ซูเอี๋ย 'เขากระโดง'
'จุลพงศ์' ซัด 'แพทองธาร' ใช้อำนาจนายกฯ หวังฮุบที่ดินอัลไพน์ รู้เห็นเป็นใจที่ดินเขากระโดง ชี้แค่ละครแบ่งผลประโยชน์ กับ 'ภูมิใจไทย'
'วิโรจน์' แฉนิติกรรมอำพราง! 'อิ๊งค์' ออกตั๋วPN ซื้อหุ้นครอบครัว หนีภาษี 218 ล้าน
'วิโรจน์' แฉ 'แพทองธาร' ทำนิติกรรมอำพราง ออก 'ตั๋ว PN' ให้เครือญาติเพื่อหนีภาษีโอนหุ้น 9 ปี รวม 218 ล้านบาท ซัดจ่ายภาษีตามหน้าที่พลเมืองไม่ได้ จะไว้วางใจให้เป็น 'นายกฯ' บริหารประเทศได้อย่างไร
ม็อบชาวนาบุกสภา! บี้รัฐบาลช่วยด่วน 3 เรื่องใหญ่
กลุ่มชาวนา 13 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง นำโดยนายณัฐธชลัยย์ มยูรศักดิ์ ที่ปรึกษานายกสมาคมศูนย์ชาวชุมชนประเทศไทย