ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบยุติธรรม โดยในปี 2568 กรมราชทัณฑ์จะเริ่มใช้ ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อลดความแออัดในเรือนจำ และส่งเสริมการฟื้นฟูผู้ต้องขังให้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะฟังดูเป็นนโยบายที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่กระแสสังคมกลับเต็มไปด้วยความกังวลว่า ระเบียบนี้อาจกลายเป็นเครื่องมือที่เอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลบางกลุ่ม เช่น บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลทางการเมือง
ประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี ในคดีโครงการรับจำนำข้าว หลายคนตั้งคำถามว่า ระเบียบนี้อาจเปิดช่องให้เธอกลับมารับโทษในลักษณะที่ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ และหากเป็นเช่นนั้นจริง
จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของไทยอย่างไร?
แม้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม จะยืนยัน "ยิ่งลักษณ์" ไม่เข้าเกณฑ์การคุมขังนอกเรือนจำ เพราะมีโทษเกิน 5 ปี โดยผู้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวจะต้องมีโทษไม่เกิน 4 ปี กระนั้นหลายคนก็ยังไม่วางใจ หลายคนก็ยังไม่ไว้ใจ
"ฤทธิ์เดช" ขนาดชั้น 14 ยังมีมาแล้ว!!!
ย้อนมาดูระเบียบการคุมขังนอกเรือนจำเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาความแออัดในเรือนจำไทย ปัจจุบันเรือนจำไทยรองรับผู้ต้องขังเกินความจุหลายเท่าตัว ส่งผลให้ผู้ต้องขังต้องอาศัยอยู่ในสภาพแออัด ขาดสุขอนามัย และขาดโอกาสในการฟื้นฟูพฤติกรรม
วัตถุประสงค์หลักของระเบียบนี้ ได้แก่ ลดความแออัดในเรือนจำ โดยย้ายผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไปยังสถานที่คุมขังอื่น เช่น บ้านพัก สถานศึกษา หรือสถานพยาบาล สนับสนุนการฟื้นฟูพฤติกรรม ด้วยการให้ผู้ต้องขังสามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับสังคม ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ ในการดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกรณีของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
แม้ระเบียบนี้จะมีเป้าหมายที่ดูเหมาะสม แต่กระบวนการพิจารณาผู้ต้องขังที่ได้รับสิทธิ์กลับถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสและความยุติธรรม เนื่องจากการแต่งตั้งคณะกรรมการที่พิจารณาผู้ต้องขังที่จะได้รับสิทธิ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรม แต่ไม่มีตัวแทนจากภาคประชาชน องค์กรสิทธิมนุษยชน หรือสื่อมวลชนเข้าร่วม ทำให้เกิดความกังวลว่า การพิจารณาอาจขาดความเป็นกลางและโปร่งใส
การขาดกลไกการตรวจสอบจากภายนอก ในปัจจุบันการตัดสินใจอยู่ภายใต้ดุลพินิจของคณะกรรมการ ซึ่งอาจนำไปสู่ความลำเอียงหรือการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องขังที่มีชื่อเสียงหรือมีฐานะทางสังคม
นอกจากนี้ประเด็นที่ทำให้ระเบียบนี้กลายเป็นดรามาคือ ความเป็นไปได้ที่ "ยิ่งลักษณ์" จะได้รับสิทธิ์คุมขังนอกเรือนจำ หากเธอกลับมารับโทษในประเทศไทย หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ระเบียบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเปิดช่องให้เธอหลีกเลี่ยงการจำคุกในเรือนจำหรือไม่
หากพิจารณาจากเงื่อนไขของระเบียบ "ยิ่งลักษณ์" อาจยังไม่เข้าเกณฑ์ผู้สูงอายุ หรือยังไม่ทราบว่าจะมีอาการป่วยรุนแรงด้วยโรคอะไร อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูว่าทางกรมราชทัณฑ์จะออกหลักเกณฑ์อะไรเพิ่มเติมที่อาจจะนำไปสู่การเอื้อประโยชน์ให้ได้เข้าเงื่อนไขนี้ "โดยคดีที่ถูกตัดสินเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบทางเศรษฐกิจระดับชาติ ซึ่งอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มคดีร้ายแรงที่ไม่ควรได้รับสิทธิ์นี้
หาก "ยิ่งลักษณ์" ได้รับสิทธิ์คุมขังนอกเรือนจำ สังคมอาจมองว่าเป็นการปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน และตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมของไทย
สุดท้ายแล้วอาจจะนำไปสู่การทำให้เกิดกระแสสังคมที่แตกแยก ฝ่ายที่สนับสนุน "ยิ่งลักษณ์" อาจมองว่า การคุมขังนอกเรือนจำเป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากเธอไม่ได้กระทำผิดในคดีอาญาร้ายแรงหรือคดีที่มีความรุนแรงทางกายภาพ แต่ฝ่ายที่คัดค้านอาจมองว่า การให้สิทธิ์นี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ไม่ต้องเข้าคุกเหมือนพี่ชายตัวเองที่ชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ แล้วยิ่งเกิดในยุครัฐบาลเพื่อไทยด้วย จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงข้อโต้แย้งนี้ ซึ่งอาจขัดต่อหลักการยุติธรรม
โดยข้อเสนอเพื่อสร้างความโปร่งใส เพิ่มตัวแทนจากภาคประชาชน การเชิญตัวแทนจากองค์กรสิทธิมนุษยชน นักกฎหมาย หรือสื่อมวลชนเข้าร่วมในคณะกรรมการ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสในกระบวนการพิจารณา เปิดเผยกระบวนการพิจารณา การจัดทำรายงานเกี่ยวกับเกณฑ์การพิจารณาและผลการตัดสินใจ จะช่วยลดข้อครหาและสร้างความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม
กำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนและโปร่งใส ระบุเกณฑ์การพิจารณา เช่น สุขภาพ, อายุ, พฤติกรรมระหว่างคุมขัง และประเภทของคดีที่ไม่สามารถรับสิทธิ์ได้อย่างละเอียด และจัดตั้งกลไกอุทธรณ์ ผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับสิทธิ์ควรมีช่องทางในการอุทธรณ์ หรือร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรมในกระบวนการพิจารณา
ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำเป็นความพยายามที่ดีในการปรับปรุงระบบราชทัณฑ์ แต่ความสำเร็จของระเบียบนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการที่โปร่งใสและยุติธรรม หากกระบวนการพิจารณาถูกมองว่าเลือกปฏิบัติหรือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีชื่อเสียง เช่น "ยิ่งลักษณ์" ระเบียบนี้อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่สร้างความแตกแยกในสังคม
ในทางกลับกัน หากกรมราชทัณฑ์สามารถพิสูจน์ได้ว่าระเบียบนี้สร้างประโยชน์แก่ผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียม ก็จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมและเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูประบบราชทัณฑ์ของไทย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกไว้! 'ทวีไอพี' ยัน 'ยิ่งลักษณ์' ไม่เข้าเกณฑ์ขังนอกเรือนจำ
ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการจำคุกนอกเรือนจำ ที่กรมราชทัณฑ์เตรียมบังคับใช้ในเดือน ม.ค.นี้ ว่า ปั
‘แม้ว’ห้าว!ผ่านสนาม อบจ. ท่าทีมั่นใจ‘ความปลอดภัย’
ห้าวทุกเวที! 4 จังหวัด อุดรธานี อุบลราชธานี เชียงใหม่ เชียงราย ที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ไปช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือนายก อบจ.หาเสียง
ก้าวต่อไป ‘รทสช.’ ปี 2568 ติดสปีดผลงาน-โกยคะแนน
ต้องฝ่าฟันมรสุมกันระลอกใหญ่ส่งท้ายปี 2567 สำหรับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จากพรรคน้องใหม่จนถึงปัจจุบันสู่ปีที่ 3 แล้ว ภายใต้การนำของ “พี่ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค ซึ่งพรรคได้โควตาร่วมทัพรัฐบาลเพื่อไทย และได้กระทรวงที่หมายปองมาครอบครองสมใจ
การเมืองไทยปี 68 เข้มข้น-ขับเคี่ยว-ร้อนแรง ซักฟอกมี.ค.-ปรับครม.กลางปี
การเมืองไทยไม่ว่าปีไหนๆ ก็มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นได้ตลอด บางเรื่องเกิดขึ้นตามปฏิทินการเมือง แต่บางประเด็นเป็นความร้อนแรงที่แทรกขึ้นมาแบบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
'ปชน.'ถอย'ม.112'แลกอุดมการณ์ เพิ่มคะแนนนิยม'เท้ง'เฉือน'อิ๊งค์'
ผลสำรวจความเห็นของประชาชน 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หัวข้อ ความนิยมทางการเมือง ในไตรมาส 4 ปลายปี 2567 ให้ผลที่น่าสนใจ เมื่อ 'เท้ง’- นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นนักการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดอันดับ 1
ปี67‘อดีตสว.’ขยับสะเทือนถึงรัฐบาล ถอดถอน‘เศรษฐา’ที่มาของหลายเรื่อง
การเมืองรอบปี 2567 เหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดต้องยกให้กับศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย และทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตามมา วันนี้จึงขอบันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ยกให้เป็นเหตุการณ์แห่งปี