การเมืองรอบปี 2567 เหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดต้องยกให้กับศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย และทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตามมา วันนี้จึงขอบันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ยกให้เป็นเหตุการณ์แห่งปี
ต้นเพลิงสำคัญมาจากการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในเวลานั้นเกิดกระแสทักท้วงว่าพิชิตขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ
เนื่องจาก “ทนายพิชิต” ขณะที่เป็นหัวหน้าทีมสู้คดีที่ดินรัชดาฯ ให้แก่ “ทักษิณ ชินวัตร” เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาล โดยใส่เงินสด 2 ล้านบาท ลงไปในถุงขนม ทำให้ศาลมี “คำสั่งจำคุก” 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล
ดังนั้นทางรัฐบาลจึงได้สอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาถึงข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7)
โดยมาตรา 160 (6) กำหนดไว้ว่า รัฐมนตรีต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 ซึ่งมาตรา 98 (7) กำหนดลักษณะต้องห้ามไว้ว่า “เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 10 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ”...
สำหรับมาตรา 160 (7) บัญญัติว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่รวมถึงคำสั่งให้จำคุก ดังนั้นผู้ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจึงต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก
ทว่า จุดตายของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่รัฐบาลสอบถามไปยังกฤษฎีกา เนื่องจากรัฐบาลถามไม่ถูกจุด และยังมีเสียงซุบซิบนินทาด้วยว่า ทีมงานกฎหมายของ “เศรษฐา” แกล้งโง่ หรือโง่จริง
ขณะเดียวกันก็มีหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือนี่จะเป็นความตั้งใจหาทางลงให้ “เศรษฐา” ลงจากหลังเสืออย่างนุ่มนวล ไม่มีแผลกันแน่ เพราะมีสัญญาณพิเศษต้องการให้ “แพทองธาร” เป็นนายกฯ เร็วที่สุด
หลัง “พิชิต” ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรี ต่อมาวันที่ 15 พ.ค.67 “40 สว.” ก็รุกฆาต ลงชื่อร่วมกัน ยื่นหนังสือต่อ “พรเพชร วิชิตชลชัย” ประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” และ “พิชิต” สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5)
เล่นเอาคณะรัฐมนตรีสะดุ้งโหยง และ นำมาซึ่งการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ของ “พิชิต”-ทนายถุงขนม ในวันที่ 21 พ.ค.
อย่างไรก็ตาม มาตรา 170 (4) กำหนดว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 160 ซึ่งมาตรา 160 (4) คือ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ส่วน (5) คือ ต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย
ในคำร้องของ 40 สว. พอสรุปเป็นภาษาง่ายๆ ได้ว่า นายเศรษฐารู้อยู่แก่ใจหรือควรรู้อยู่แล้วว่า “พิชิต” ขาดคุณสมบัติหรือคุณลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีศาลฎีกามีคำสั่งที่ 4599/2551 ให้จำคุกฐานละเมิดศาล
ที่สำคัญ ต่อมาภายหลังสภาทนายความมีมติลงชื่อ “พิชิต” ออกจากทะเบียนทนายความ แสดงให้เห็นว่าเป็นบุคคลที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรี
จนกระทั่งถึงวันที่ “เศรษฐา” ต้องเก็บกระเป๋าเดินออกจากทำเนียบรัฐบาล
14 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและมีมติ 5 ต่อ 4 ความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” สิ้นสุดลงเฉพาะตัว
เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ “หักปากกาเซียน” ของแท้ เพราะก่อนหน้าที่จะถึงวันศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ต่างออกมาฟันธงเป็นแถวว่า “เศรษฐา” จะรอด ได้ทำหน้าที่นายกฯ ต่อไป
แต่ความจริงกลับตาลปัตรฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งวันนั้น “เศรษฐา” เลือกรอฟังคำวินิจฉัยอยู่ที่ตึกดังกล่าว ไม่ได้เดินทางไปศาลด้วยตนเอง
หลังจากวันนั้นก็เป็นที่มาของปรากฏการณ์ “ผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” โดยเริ่มต้นจากภารกิจเขี่ย “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็นหัวหน้าพรรค ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะเป็นหนามยอกอก “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของเพื่อไทยมานาน
จากนั้นดึง “ประชาธิปัตย์” ยุคอุดมการณ์อ่อนแรงมาบดขยี้ ด้วยการอนุญาตให้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลแทนพลังประชารัฐ โดยมี “เดชอิศม์ ขาวทอง” ลูกหม้อเพื่อไทยเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็น “เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์” เป็นตัวประสานงาน จนกระทั่งได้เป็นพรรคร่วมจนถึงเวลานี้
ประการสุดท้าย เหตุการณ์แห่งปี “เศรษฐา” โดนถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกฯ ทำให้ รัฐบาลต่อมาของ “แพทองธาร ชินวัตร” พิถีพิถันคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่จะเอาใครก็ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นขวัญตามาแล้ว กระทั่ง 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี 35 คน และต่อมาวันที่ 6 ก.ย. นายกฯ แพทองธารนำคณะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘แพทองธาร’ เข้าพบ ‘สุรยุทธ์’
นายกฯ เผย สมเด็จพระสังฆราชประทานพรให้แข็งแรง ดูแลบ้านเมืองให้สงบ พร้อมเข้าขอพรปีใหม่ประธานองคมนตรี สักการะพระแก้วมรกต-ศาลหลักเมือง
ประธานองคมนตรี อวยพรนายกฯแพทองธาร ประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลนนท์ ประธานองคมนตรี ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อกราบขอพรเนื่องในเทศกาลปีใหม่ โดยพล.อ.สุรยุทธ์ ได้อวยพรให้นายกรัฐมนตรี
'ปชน.'ถอย'ม.112'แลกอุดมการณ์ เพิ่มคะแนนนิยม'เท้ง'เฉือน'อิ๊งค์'
ผลสำรวจความเห็นของประชาชน 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หัวข้อ ความนิยมทางการเมือง ในไตรมาส 4 ปลายปี 2567 ให้ผลที่น่าสนใจ เมื่อ 'เท้ง’- นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นนักการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดอันดับ 1
นายกฯอิ๊งค์ ควงสามี ทำบุญปีใหม่ อุบตอบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำเนียบฯ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อมาถึงนายกฯทักทายสื่อมวลชนว่า “สวัสดีปีใหม่” อย่างอารมณ์ดี จากนั้นนายกฯเป็นประธานในพิธีทำบุญเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568
‘ทักษิณ’ไม่กล้าเขี่ย‘ภท.-รทสช.’
เป็นความสัมพันธ์ที่แม้แต่คนภายนอกยังมองออกว่ากระท่อนกระแท่น สำหรับความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
'สมศักดิ์' ฟุ้งปีหน้า 'รัฐบาลอิ๊งค์' ฉลุย อีก 2 ปีครึ่ง พท. กลับมายิ่งใหญ่
'สมศักดิ์' มองทิศทางการเมืองปี 68 มั่นใจรัฐบาลแพทองธาร เดินไปได้ไร้ปัญหาสะดุดล้ม พรรคร่วมไม่ถึงขั้นแตกหัก ฟุ้งอีก 2 ปีครึ่ง เพื่อไทยกลับมายิ่งใหญ่