“พ่อเลี้ยง”เปลี่ยนสนามรบเป็นทุน “ดับไฟใต้-สันติภาพเมียนมา”

“ฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง” นับเป็นภาพการเมืองในฝ่ายบริหารที่ “วิญญูชน” พึงประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขยับตัวและคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” วิทยากร-นักวิชาการของพรรคเพื่อไทย ผู้เป็นบิดาของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตรนั้น มีอิทธิพลต่อรัฐบาลในภาพรวม และทุกฝ่ายล้วนเงี่ยหูฟัง เพราะเปรียบเหมือนทิศทางการขับเคลื่อนเชิงนโยบายของประเทศอย่างไม่ต้องตีความมากนัก

ยิ่งเมื่อสถานะของ “ทักษิณ” เริ่มแตะเข้าโซนนานาชาติ ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทำให้หลายคนมองว่าบทบาทของอดีตนายกฯ ผู้ที่กำลังฝ่าข้อกล่าวหา “ป่วยทิพย์” ชั้น 14 นั้นไม่ได้มีผลต่อภาพลักษณ์ภายนอก ในขณะที่ตัวเองก็มีความมั่นใจสูงในจังหวะก้าวแต่ละเรื่อง ที่อาจเกิดจากการคุยกับ “พระเจ้า” จนกล้าที่จะลงเล่นในสนามต่างๆ โดยไม่ได้ออกอาการกังวลแต่อย่างใด

แถมยังได้รับความไว้วางใจใน “คอนเนกชัน” จนผู้นำประเทศเพื่อนบ้านต้องตั้งให้เป็นกุนซือ เพราะมีรายงานข่าวว่า อันวาร์ชื่นชมทักษิณตั้งแต่ยุค “ทักษิโนมิกส์” ที่สร้างกระแสในอดีต และไว้ใจในเครือข่ายความสัมพันธ์กับกลุ่มนักลงทุน รวมถึงนักการเมืองทั่วโลก และตัว “อันวาร์” ก็คาดหวังว่าเมื่อมาเลเซียมาเป็นประธานอาเซียนแล้ว ควรต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องของความร่วมมือกันของประเทศสมาชิกมากขึ้น เพื่อรับมือสถานการณ์โลกในปี 2568 ที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกและเศรษฐกิจทั่วภูมิภาคมีความผันผวนสูง

 “ก็คงจะต้องคิดในเรื่องของยุทธศาสตร์ร่วมกันของอาเซียน เพราะระยะหลังอาเซียนก็มักจะพูดของใครของมัน ไม่มียุทธศาสตร์ของอาเซียน ซึ่งอาเซียนนั้นควรจะรวมพลังกัน เพราะเรามีประชากร 700 ล้านคน ถ้าเรารวมกันให้แข็งแรงมันก็เหมือนเป็นประเทศใหญ่ๆ เหมือนกัน ซึ่งจะทำให้มีการต่อรองทางการค้า ซึ่งช่วงนี้สงครามทางการค้าก็หนักขึ้นทุกวัน” ทักษิณระบุถึงประเด็นที่จะคุยกับนายกฯ มาเลเซีย ในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ ในประเทศไทย

สถานะมาเลเซียในปีหน้าจะเข้ารับไม้ต่อเป็นประธานอาเซียน ถูกคาดหวังว่าจะเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อมีการจับมือกับไทยเพื่อกำหนดจุดยืนของอาเซียนในประเด็นความมั่นคงและเศรษฐกิจ จนสามารถสร้างการต่อรองและลากดึงให้ประเทศอื่นเข้ามาร่วมจับมือกันมากขึ้นในประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาค

ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นความขัดแย้งในประเทศเมียนมาจากสงครามภายใน ซึ่งอาเซียนเป็นแกนกลางในการเสนอฉันทามติ 5 ข้อเพื่อสนับสนุนการสร้างสันติภาพในประเทศนั้น อินโดนีเซียเคยเดินหน้าในเรื่องดังกล่าวแต่ก็ไม่มีการขยับมากนัก เพราะเมียนมาจะพูดคุยหรือไว้ใจกับไทยผ่านกลไกระดับกองทัพมากกว่า รวมไปถึงจีนที่ขยายอิทธิพลลงมาอย่างน่ากลัว

ทำให้ทุกอย่างไม่ค่อยมีความคืบหน้า จนกระทั่งการประชุมสุดยอดผู้นำเซียน ที่สปป.ลาว นายกฯแพทองธาร ได้ใช้เวทีนี้ยืนยันว่าไทยจะเป็นแกนหลักที่สำคัญในการผลักดันสันติภาพในเกิดกับเมียนมาให้ได้ ในปีหน้ามาเลเซีย ก็จะมีบทบาทนำในฐานะประธานอาเซียน การใช้ความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการจับคู่กับไทยจึงมุ่งหวังว่าจะเกิดความสำเร็จ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไขปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนให้บรรลุผล

เช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อยาวนานมาหลายสิบปี สูญสิ้นงบประมาณหลายหมื่นล้านบาท แต่การก่อเหตุที่มีผลต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของคนในพื้นที่ก็ยังคงเกิดขึ้นไม่จบ

มีการกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีจากรัฐบาลสู่รัฐบาล แต่ก็ไม่สามารถทำให้ไฟใต้ดับมอดได้ ภาคส่วนต่างๆ คาดหวังกับกระบวนการสันติสุข ผ่านคณะพูดคุยฯ แต่กลไกดังกล่าวยังถูกปล่อยร้างไว้ ไม่มีการเปิดโต๊ะพูดคุยอย่างเป็นทางการ เพราะรอดูนโยบายจากหน่วยเหนือในการกำหนดทิศทาง ส่งสัญญาณว่า “พ่อเลี้ยงรัฐบาล” กำลังกำหนดเกมในการสร้างโมเดลดับไฟใต้เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

มีรายงานว่า มีหลายทีมที่เข้าไปขายไอเดียกับทักษิณในการแก้ไขปัญหา ทั้งการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ การเจรจากับองค์กรสิทธิมนุษยชนในเครือข่ายของยูเอ็น ซึ่งเคยทำมาแล้วแต่ก็ไม่ใช่ตัวจริง เลยไปถึงการประกาศการมีอยู่ของขบวนการบีอาร์เอ็น

แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้มีหลักประกันว่าจะเห็นผลได้ ตราบใดที่รัฐบาลและกองทัพมีข้อมูลคนละชุด และมองผู้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างมีอคติ ดังนั้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจะเกิดขึ้นได้ เกิดจากการจัดการปัญหาร่วมกัน ซึ่งต้องทำในระดับของการเจรจา การแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางการเมืองในพื้นที่ การสกัดกั้นป้องกันการส่งต่อแนวความคิดจากรุ่นสู่รุ่น รวมไปถึงการขายฝันด้านการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดการค้า การลงทุนให้ได้

เลยไปถึงการยอมรับในการมีอยู่ การคืนศักดิ์ศรีในฐานะมุสลิมที่เคยอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือแม้กระทั่งการดำรงอยู่ของชาติพันธุ์ต่างๆ ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ด้วยการใช้พื้นที่ของสนามรบเป็นพื้นที่ของความหวังในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี โดยมีรัฐที่ให้ความคุ้มครอง ภายใต้แนวคิดที่เชื่อกันว่า เมื่อท้องอิ่ม มีงานทำ ก็ไม่จำเป็นที่ต้องถืออาวุธฆ่าฟันกัน

โมเดลคิดใหญ่ของพ่อเลี้ยงจะเกิดขึ้นจริงไปได้สวย หรือจบเห่คามือ คงได้เห็นในไม่ช้า!!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ทักษิณ' ปราศรัยเดือด ไม่ทนพวกเห่าหอน ซัดมาซัดกลับ เหน็บพรรคส้มขี้โม้

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ สว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ เบอร์ 2 หาเสียง โดย ทันทีที่นายทักษิณมาถึงได้เดินทักทายประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย

'เต้น' ปราศรัยเชียงใหม่ ขออย่าเปลี่ยนใจ ถามเลือกตั้ง สส. ทำไมเพื่อไทยได้แค่ 2 คน

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ สว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ เบอร์ 2 หาเสียง โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

'ทักษิณ' อวย 'แพทองธาร' เก่งกว่าตัวเองสมัยเริ่มต้น ปัดเขียนสคริปต์ให้

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง ที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้กับรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บุตรสาว ว่า สงสัยสื่อมวลชนเห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.)

'ทักษิณ' เกทับ! เลือกตั้งครั้งหน้า กวาด สส.เชียงใหม่ ครบ 10 ที่นั่ง

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงให้ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือสว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่

'ทักษิณ' รอยืนยันพบ 'อันวาร์' ที่ไทย คุยยุทธศาสตร์ร่วมทำอาเซียนแข็งแรง

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการจะพบกับดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ บิน อิบราฮิมี นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย วันที่ 26 ธ.ค.หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการว่า กำลังรอการยืนยันอยู่ แต่เป็นการพบกันในฝั่งไทย ไม่ได้ข้ามไป 

'ทักษิณ' แจงไปตีกอล์ฟ ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ 'อนุทิน' เป็นเรื่องธรรมดาลิ้นกับฟัน

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปรากฎภาพตีกอล์ฟร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสารัชถ์ รัตนาวะดี