เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายแล้วสำหรับ ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขตหลักสี่-จตุจักร ที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกันวันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค.นี้
ซึ่งถึงตอนนี้ แม้สถานการณ์การเมืองทุกฝ่ายจะให้ความสนใจไปที่ปัญหาการเมืองภายในพลังประชารัฐกับกรณีกลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ดูแล้วคงไม่จบลงแบบง่ายๆ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางสัปดาห์นี้น้ำหนักข่าวสารการเมืองจะเทไปที่ศึกเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร วันอาทิตย์ที่ 30 ม.ค.แน่นอน
เพราะอย่างที่เห็น การแข่งขันในพื้นที่ ซึ่งอยู่ในเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร พบว่าดำเนินไปอย่างสูสี เข้มข้น ทำให้จนถึงช่วงโค้งสุดท้าย แวดวงการเมืองก็ยังประเมินยากว่าใครจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ ยิ่งพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นที่รู้กันทางการเมืองว่า เป็นพื้นที่เลือกตั้งที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองสูง ทุกอย่างตัดสินกันที่ กระแส เรียกได้ว่าสัปดาห์สุดท้ายคือตัวชี้วัดอย่างแท้จริงว่าใครแพ้-ใครชนะ ดังนั้นผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมจากแต่ละพรรค การหาเสียงในช่วงสัปดาห์สุดท้ายจึงต้องรัดกุม พลาดไม่ได้ และสัปดาห์นี้แต่ละพรรคการเมืองคงเร่งหาเสียงอย่างหนัก แกนนำแต่ละพรรคจะลงมาช่วยหาเสียงอย่างเต็มที่ ทั้งการลงพื้นที่หรือการเปิดเวทีปราศรัย เป็นต้น
โดยถึงปัจจุบัน ผู้สมัครที่เป็นตัวหลักที่กำลังเบียดสู้กันอยู่ ก็คงไม่พ้น 5 ชื่อดังนี้ คือจากพรรคพลังประชารัฐ นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ มาดามหลี ภรรยาของสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.กทม. ที่ลงสมัครเพื่อรักษาพื้นที่ให้ครอบครัวได้มีที่ยืนทางการเมืองต่อไป หลังสามี สิระขาดคุณสมบัติลงเลือกตั้ง ส.ส.ตลอดไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ส่วน เพื่อไทย ก็ส่งอดีต ส.ส.คนเดิมตอนเลือกตั้งปี 2554 สุรชาติ เทียนทอง ลูกชาย เสนาะ เทียนทอง ซึ่งรอบนี้สุรชาติและเพื่อไทย ค่อนข้างมั่นใจมาก เพราะเลือกตั้งรอบที่แล้วแพ้สิระไปแค่ 2,000 คะแนน คือ สุรชาติได้ 32,115 คะแนน ส่วนสิระได้ 34,907 คะแนน จึงไม่แปลกที่แวดวงการเมืองจะมองว่ารอบนี้เพื่อไทยมีสิทธิ์ได้ลุ้นชนะ
นอกจากนี้ก็ยังมีจากพรรคกล้า ที่ส่ง อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า อดีต ส.ส.กทม.ประชาธิปัตย์พื้นที่ดังกล่าวลงสมัคร ซึ่งสนามนี้พรรคกล้า ทั้งกรณ์ จาติกวณิช, อรรถวิชช์ ต่างหวังให้พรรคกล้าแจ้งเกิดในการเลือกตั้งให้ได้ จะได้มี ส.ส.ในสภาฯ สักคน หลังจากที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งซ่อมทั้งที่นครศรีธรรมราช-ชุมพร-สงขลา ซึ่งหากรอบนี้ที่ส่งเลขาธิการพรรค อดีต ส.ส.ที่ถือว่ามีสิทธิ์ลุ้นมากที่สุด หากพรรคกล้ายังไม่ประสบความสำเร็จ คงส่งผลต่อขวัญกำลังใจต่อพรรคกล้าไม่มากก็น้อย และอาจทำให้แกนนำพรรคต้องมาปรับขบวนทัพกันใหม่ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป หากคิดจะรันพรรคกล้าต่อไปในสนามการเมือง
ส่วน พรรคก้าวไกล ที่มีฐานเสียงใน กทม.อยู่ไม่น้อย และมี ส.ส.กทม.อีกหลายคน แม้จะเกิดขึ้นสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ ที่ตอนเลือกตั้งปี 2562 ได้คะแนนเสียงในพื้นที่ กทม.มา 804,272 คะแนน แม้จะเป็นผลพวงมาจากพรรคไทยรักษาชาติโดนยุบพรรคแล้วคน กทม.มาเลือกอนาคตใหม่แทนก็ตาม แต่ก้าวไกลก็เชื่อว่าการดำเนินงานที่ผ่านมาของพรรคทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ ทำให้มีฐานเสียง-แฟนคลับใน กทม.ไม่น้อย จึงทำให้พรรคก็มั่นใจระดับหนึ่งว่ารอบนี้ก็มีโอกาสลุ้น กับการที่ส่ง เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ นักแสดง ลงสมัคร
รวมถึงอีกหนึ่งคนหนึ่งพรรคที่น่าจับตามองเช่นกัน คือ พรรคไทยภักดี ที่ส่ง พันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชน์ นักธุรกิจ-แกนนำร่วมก่อตั้งพรรค ลงชิงชัยภายใต้แคมเปญหาเสียงที่ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม โดยมีกองเชียร์ที่มีจุดยืน-แนวคิดการเมืองเดียวกันร่วมส่งเสียงเชียร์ เช่น ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือท่านใหม่, นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เลือกตั้งเสียด้วย
แน่นอนว่า จาก 5 รายชื่อผู้สมัคร จะพบว่า ในทางการเมือง เรื่อง การตัดคะแนน กันเองเกิดขึ้นแน่นอน เพราะอย่างไรเสียในทางการเมือง เวลานี้ก็ยังมีกลุ่มผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งก็ยังแบ่งเป็นกองเชียร์-ประชาชน-แฟนคลับ อยู่ 2 ขั้ว คือ กลุ่มไม่เอาพลเอกประยุทธ์ เบื่อรัฐบาล กับ กลุ่มกองเชียร์รัฐบาล หนุนบิ๊กตู่ ไม่ชอบฝ่ายค้าน
ซึ่งเมื่อดูจากผู้สมัครทั้ง 5 คน จะเห็นได้ว่า ยังไงคนที่ไม่เอารัฐบาล หนุนฝ่ายค้าน ก็จะมีตัวเลือกชัดๆ คือ เพื่อไทยกับก้าวไกล กลุ่มนี้ไม่มีทางจะไปเลือกพลังประชารัฐหรือไทยภักดีแน่นอน อย่างมากหากเลือกแบบกลางๆ หน่อย ก็อาจเทไปที่พรรคกล้า ส่วน กลุ่มไม่ชอบฝ่ายค้าน ไม่ชอบม็อบสามนิ้ว ยังเชียร์รัฐบาล หนุนบิ๊กตู่ ก็อาจเลือกพลังประชารัฐ แต่หากรู้สึกว่า ผู้สมัครของพลังประชารัฐยังไม่ใช่ ไม่โอเค ก็อาจไปเลือกไทยภักดีแทน คนที่คิดแบบนี้ก็คาดว่าจะมีไม่น้อย
ดังนั้น การตัดคะแนนกันเอง จึงเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งในปีกผู้สมัครฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะอย่างฝ่ายค้านก็จะตัดกันเองระหว่าง เพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล จนเห็นได้ชัดว่าแกนนำเพื่อไทยกังวลเหมือนกันว่าจะถูกก้าวไกลตัดคะแนน จนคะแนนที่สุรชาติจะได้จะไม่เป็นไปตามเป้า
ผลเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักรที่จะออกมา นอกจากเป็นเดิมพันของการเมือง 2 ขั้วดังกล่าวแล้ว คะแนนที่แต่ละพรรคได้รับจะสะท้อนให้เห็น
คะแนนนิยม-อารมณ์ทางการเมืองของคนกรุงเทพฯ
ต่อสถานการณ์การเมืองเวลานี้ได้เป็นอย่างดีด้วย โดยเฉพาะกับพรรคตั้งใหม่อย่าง พรรคกล้า-ไทยภักดี ที่ก็คาดหวังพื้นที่ กทม.ไว้แต่แรกอยู่แล้ว ผลที่ออกมาคงทำให้ทั้ง 2 พรรคเห็นอะไรบางอย่างได้
ที่สำคัญหากฝ่ายค้านชนะในศึกครั้งนี้ รับรองได้ว่าฝ่ายค้านและฝ่ายไม่เอารัฐบาลจะแปรค่าทางการเมืองและโหมกระหน่ำว่า บิ๊กตู่กระแสตก-พลังประชารัฐเรตติงตก อย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นแกนนำพลังประชารัฐ นอกจากกำลังสาละวนกับการเคลียร์ปัญหาภายในพรรคกับกลุ่มธรรมนัส ช่วงโค้งสุดท้ายนี้ก็อาจต้องลงมาวางแผนช่วยมาดามหลีหาเสียงด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้น "หลีแย่แน่"!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
จับตาคลอดโผแต่งตั้ง“นายพลใหญ่” ตำรวจคนสนิทฝั่งรัฐบาลพรึบยกแผง
จับตาบ่ายวันนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายล็อตแรก “นายพลใหญ่” ระดับรอง ผบ.ตร. จเรตำรวจ-ผบช. ที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2567 เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อ “พล.ต.อ.-พล.ต.ท.” วาระประจำปี 2567
ยากจะขวาง‘โต้ง’นั่งปธ.บอร์ดธปท. แนวต้านขอสกัดจนนาทีสุดท้าย!
แม้จะมีข่าวว่า กรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเลือก เสี่ยโต้ง-นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่
โค้งสุดท้ายศึกนายกอบจ.อุดรฯ เดิมพันสูง พท.VSปชน.แพ้ไม่ได้
นับจากวันจันทร์ที่ 18 พ.ย.ก็เหลืออีกเพียง 7 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ศึกนายกฯ อบจ.อุดรธานี ทำให้ตอนนี้ถือว่าเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายที่จะได้รู้กันแล้วว่า
‘แม้ว’ ย่ามใจไม่เลี้ยงหลาน ทำตัวเป็น ‘ส่วนหนึ่งของปัญหา’
แม้แต่ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังตั้งคำถามต่อ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี