'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน

“แต่เมื่อดูจากบริบทของอำนาจในขณะนี้ ทักษิณมีท่าทีวางใจในเกมนิติสงครามมากขึ้น และไม่คิดว่าจะมีการเปิดศึกกับตัวเองในช่วงนี้ เพราะสมการของรัฐบาล และลูกสาวของทักษิณเป็นผู้นำอยู่นั้น เป็นทางเลือกเดียวของชนชั้นนำ”

ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น

ทำให้เห็นว่า “ศาล” ให้ความสำคัญเรื่องการปรากฏข้อเท็จจริงว่า ข้อมูล หลักฐานมีความชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายและความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

“โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ”

จะมีเพียงประเด็นที่ 2 ที่ตุลาการฯ มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ กรณี “ทักษิณ” สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาให้มีการเจรจาพื้นที่ทับช้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าชธรรมชาติและทรัพยากรได้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา

แน่นอนว่า มติดังกล่าวส่งผล “บวก” กับทักษิณ และคนในตระกูลชินวัตรที่นั่งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ใช่ว่า “ทักษิณ-แพทองธาร” และพรรคเพื่อไทย จะหายใจปลอดโปร่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีอย่างน้อยอีก 2 คดีกำลังเรียงคิวขึ้นเขียง เตรียมเชือดในอนาคต เช่น

กรณีแรก เกิดจากการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย และอีก 5 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม เนื่องจากยินยอมให้ “ทักษิณ" เข้าครอบงำ ชี้นำพรรค โดยประชุมกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นการกระทำความผิดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 โดย กกต.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมารวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน เพื่อเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จสามารถขยายได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าการสอบจะแล้วเสร็จ 

กรณีนี้มีกลุ่มผู้ร้องรวม 4 ราย ได้แก่ บุคคลนิรนาม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 

นอกจากนั้น “ทักษิณ” ยังมีคดีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่อยู่ศาลอาญา และจะมีการนัดสืบพยานฝ่ายจำเลย 14 ปาก เริ่มในวันที่ 15, 16, 22 และ 23 ก.ค.2568 จำนวน 4 นัด หลังจากนั้นจะจัดทำคำพิพากษาของศาล คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2568    

ขณะที่ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการด้านกฎหมาย แสดงความเห็นไว้น่าสนใจว่า “เรื่องครอบงำพรรคนั้นหลักฐานที่เขารวบรวมมาผมเชื่อว่าแน่นหนาทีเดียว เรื่องนี้มีผลให้ต้องยุบพรรค และจำคุกผู้เกี่ยวข้องได้ แต่ตามระบบแล้วจะเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ด้วยคำร้องของ กกต. ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองเท่านั้น เรื่องติดคุกจอมปลอมนั่นก็เหมือนกัน เจ้าหน้าที่ต้องติดคุกโดยศาลคดีทุจริตฯ ทักษิณต้องถูกขังใหม่ โดยหมายจำคุกของศาลคดีอาญานักการเมือง ทั้งสองเรื่องนี้ ปัจจุบัน กกต.และ ป.ป.ช.เขาตั้งเรื่องไต่สวนแล้วทั้งสิ้น"

แต่เมื่อดูจากบริบทของอำนาจในขณะนี้ “ทักษิณ” มีท่าทีวางใจในเกม “นิติสงคราม” มากขึ้น และไม่คิดว่าจะมีการเปิดศึกกับตัวเองในช่วงนี้ เพราะสมการของรัฐบาลซึ่งมีนายกฯ แพทองธารเป็นผู้นำอยู่นั้น เป็นทางเลือกเดียวของ “ชนชั้นนำ” ที่ยังใช้บริการเพื่อหยุดยั้งการเติบโตของอุดมการณ์แบบ “ส้ม”

ซึ่งไม้เด็ดของ “ทักษิณ” ก็คือทักษะของนักธุรกิจ และนักสร้างดีล ขายฝันด้วยโมเดลความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และตรึงความนิยมของคนรากหญ้าด้วยนโยบายประชานิยมแบบเดิมๆ

แต่นั่นก็เป็นโมเดลที่สัมผัสได้จริง ที่ปรากฏผ่านชีวิตความเป็นอยู่ กำลังซื้อ สวัสดิการที่ดีของคนในสังคม มากกว่าเรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เป็นเรื่องเชิงโครงสร้างที่ “เคี้ยวยาก-กลืนไม่ลง”

นอกจากนั้น ทักษิณอาจจะได้ “เช็กข่าว” และวิเคราะห์ปัจจัยทางการเมืองในปัจจุบันว่าทางโล่ง ไฟเขียวผ่านตลอด จึงได้ตัดสินใจลงมาเล่นเองทั้งในสนามการเลือกตั้งนายก อบจ. การขึ้นเวที Forbes ตีปี๊บโครงการแลนด์บริดจ์ ผนวกกับคำพูดของนายกฯ แพทองธาร ที่ประกาศในเวทีของสื่อเศรษฐกิจรายหนึ่ง ในการเดินหน้าเจรจาการแบ่งพลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีปไทย-กัมพูชา

ที่สำคัญคือ การประกาศอย่างมั่นใจว่า “รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม” เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการเมืองมีเสถียรภาพ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศ

“การเดินทางไปเยือนต่างประเทศและได้มีการหารือกับเอกชนต่างประเทศ หลายคนมีความสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย หากการเมืองประเทศไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะทำให้ต่างประเทศมีความเชื่อมั่นที่จะมาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยได้ให้ความเชื่อมั่นกับทุกคนว่ารัฐบาลจะสามารถอยู่จนครบเทอมได้ เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจได้ว่าการลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง” นายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ประเทศไทย : โอกาส-ความหวัง-ความจริง”

ยิ่งไปกว่านั้น ยังส่งสัญญาณชัดคือการเดินหน้า “พาน้องสาวกลับบ้าน” โดยทักษิณได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อญี่ปุ่นว่า เขาพยายามหาทางพา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวกลับประเทศไทยช่วงสงกรานต์ปีหน้า

“ผมไม่เห็นปัญหาอะไรที่จะกีดกันจนทำให้คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้กลับบ้าน ผมคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์ควรกลับมาก่อนสงกรานต์ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโอกาสและเวลาด้วย” ทักษิณระบุ

ถือเป็นการ “ตอบโจทย์ ภารกิจในการพาสมาชิกของครอบครัวกลับมาอยู่ประเทศไทยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พร้อมไปกับการกอบกู้ความนิยมของพรรคเพื่อไทย สร้างฐานการเมืองเพื่อลูกสาวให้มั่นคงแข็งแรง ในขณะเดียวกัน การเมืองยังเป็นเกราะป้องกันให้กับธุรกิจของตนเองและเครือข่ายดำรงอยู่อย่างได้เปรียบ

แต่ก็ใช่ว่า “โจทย์” ที่ตั้งไว้จะเดินไปได้อย่างราบรื่น เพราะเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็นเค้กหลายก้อนนั้น จะต้องใช้ศิลปะบริหารจัดการให้สมเหตุสมผล จะใช้วิธีการเดิมในการ “รวบอำนาจ” กำหนดตัวเลขเองเหมือนเมื่อก่อนคงเป็นไปได้ยาก

เพราะอย่าลืมว่า “เพื่อไทย” ไม่ได้มีเสียงในรัฐบาลที่มากพอและเบ็ดเสร็จ ยังตัองพึ่งพรรคร่วมรัฐบาลในการเดินหน้านโยบาย มาตรการต่างๆ อยู่เหมือนกัน การจะทุบโต๊ะปิดจ๊อบแบบกินรวบอยู่ฝ่ายเดียวคงทำไม่ได้

ทำให้การต่อรองและท้าทาย จากพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องต่างๆ จึงน่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้นำไปสู่จุดแตกหัก แต่การจะมีมติเรื่องใดก็คงไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ไม่ว่าจะเป็นโครงการแลนด์บริดจ์ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และการเดินหน้าเจรจาแบ่งขุมทรัพย์ในทะเลกับกัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและสุ่มเสี่ยงที่ถูกปลุกประเด็น “ขายชาติ” ขึ้นมาได้ในอนาคต หาก “ลมเปลี่ยนทิศ”

ผนวกเข้ากับการมี “หัวเชื้อ” จากเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนที่เรียกว่า “แนวร่วมกลุ่มคลั่งชาติ” ที่นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ที่ได้นำรายชื่อประชาชน 104,697 รายชื่อ ยื่นถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกเอ็มโอยู ไทย-กัมพูชา ปี 2544

ไม่เท่านั้น การปรับกลยุทธ์ของฝ่ายค้านอย่าง “พรรคประชาชน” โดยใช้กลไกสภาในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนให้มากขึ้น

ไล่ตั้งแต่ปมประเด็นเรื่องชั้น 14 ที่ยังเป็น “จุดอ่อน ของทักษิณ ซึ่งน่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาชำระความเป็นจริงต่อไป แม้ พล.ต.ท.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “รังสิมันต์ โรม” เป็นประธาน โดยนำใบแสดงอาการป่วยจากแพทย์หลายรายการมาแสดงก็ตาม แต่ไม่มีใครเชื่อ

รวมไปถึงการจัดทีมในการรวบรวมข้อมูลเพื่อเปิดเผยความไม่ชอบมาพากลใน 4 ประเด็นที่เอื้อนายทุนผูกขาดธุรกิจพลังงาน การสื่อสาร และเทคโนโลยี การออกกฎหมายที่มีวาระซ่อนเร้นเกี่ยวกับระบบรางของประเทศไทย การแก้ไขสัญญาเพื่อช่วยเอกชนผู้ได้รับสัมปทาน เป็นต้น

นับจากนี้คงเป็นช่วงที่รัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปูทางเพื่อคิกออฟเมกะโปรเจกต์ที่ประกาศไว้ และวางฐานการเมืองของพรรคเพื่อไทยให้เข้มแข็งขึ้น ด้วยการชิงเก้าอี้นายก อบจ.มาให้มากที่สุด โดยจะมีเงาของ “ทักษิณ” ปรากฏไปทุกที่หลังจากมติศาล รธน.ไม่รับคำร้องเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนคดีความที่อยู่ในองค์กรอิสระ หรือการทำกิจกรรมของกลุ่มเคลื่อนไหว คงเป็นแค่หัวเชื้อที่จุดเอาไว้รอฟ้าเปลี่ยนสี และต่อยอดการขับเคลื่อนวันข้างหน้าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเท่านั้น!!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไม่เอาไว้ทำพ่อ! 'ทักษิณ' ขู่ฟ่อ ต่อไปนี้ใครเล่นงาน จะเล่นกลับหมด บางคนให้ตังค์ใช้ พอไม่เลี้ยงโดนมันกัด

ช่วงเย็นวานนี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาปราศรัยหาเสียงช่วยนายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร ผู้สมัครนายกองค์การบริหาร

“พ่อเลี้ยง”เปลี่ยนสนามรบเป็นทุน “ดับไฟใต้-สันติภาพเมียนมา”

“ฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง” นับเป็นภาพการเมืองในฝ่ายบริหารที่ “วิญญูชน” พึงประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขยับตัวและคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” วิทยากร-นักวิชาการของพรรคเพื่อไทย

'ทักษิณ' ปราศรัยเดือด ไม่ทนพวกเห่าหอน ซัดมาซัดกลับ เหน็บพรรคส้มขี้โม้

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ สว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ เบอร์ 2 หาเสียง โดย ทันทีที่นายทักษิณมาถึงได้เดินทักทายประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย

'เต้น' ปราศรัยเชียงใหม่ ขออย่าเปลี่ยนใจ ถามเลือกตั้ง สส. ทำไมเพื่อไทยได้แค่ 2 คน

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ สว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ เบอร์ 2 หาเสียง โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

'ทักษิณ' อวย 'แพทองธาร' เก่งกว่าตัวเองสมัยเริ่มต้น ปัดเขียนสคริปต์ให้

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง ที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้กับรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บุตรสาว ว่า สงสัยสื่อมวลชนเห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.)