'ทรัมป์'เอฟเฟกต์'อิ๊งค์'เร่งกู้ชีพศก. ดึงทุกกลไก-อัดเม็ดเงินเข้าระบบ

หลังรัฐบาลนายกฯ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศเข้าสู่เดือนที่ 3 แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการแก้ไขปัญหาของประเทศหลายด้าน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เป็นทั้งปัญหาเก่าสะสมมายาวนาน และปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นจากปัจจัยโลกหลายด้านที่ล้วนส่งผลกระทบต่อประเทศไทยให้นายกฯ อิ๊งค์ต้องรับมือ

รวมถึงสถานการณ์โลกที่ล่าสุด นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดย “นักวิเคราะห์” มองว่า จะเกิดสงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐรุนแรงขึ้น ซึ่งประเทศไทยจะต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน เพราะจะกระทบการส่งออกไทยไปในตลาดจีนและสหรัฐ รวมถึงประเทศอื่นด้วย

นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จีนจะส่งสินค้าเข้าไทยเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิต ไทยจำเป็นจะต้องมีนโยบายชัดเจนในเรื่องของแผนการลงทุน การสร้างสัมพันธ์อันดี และตลาดที่จะรองรับ

ขณะที่ยังมีปัญหาค่าเงินบาท และปัญหาเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดการณ์จะขยายตัว 3% ส่วนในปี 2567 เติบโต 2.6-2.8% ดังนั้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องเร่งออกมาตรการช่วงปลายปีให้มีแรงส่งต่อเนื่อง เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อท่องเที่ยว Easy E-Receipt จะทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 5-6 หมื่นล้านบาท เป็นต้น

ทั้งนี้ ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ นายกฯ อิ๊งค์ ยอมรับเองว่า เศรษฐกิจไทยรอบนี้เจอปัญหารุมเร้าหลายด้าน ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองโลก ดังนั้นต้องแก้ไขส่วนที่เป็นปัญหาสะสม พร้อมกับสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น

โดยช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ก้าวแรก “รัฐบาลแพทองธาร” เข้ามาทำหน้าที่ ได้เร่งอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเนื้องานและนโยบายต่างๆ เป็นการสานต่อจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จึงสามารถทำได้ทันที

ซึ่งกลไกสำคัญในการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาลที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึง 3 เดือน คือการอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทในกลุ่มเปราะบางเป็นกลุ่มแรก หรือโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ ในห้วงเวลา 5 เดือนในการใช้จ่าย ที่รัฐบาลเคลมไว้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยถูกกระตุ้นครั้งใหญ่ 1.1 แสนล้าน

และนโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับ 10 นโยบายเร่งด่วนพร้อมทำทันทีที่ “แพทองธาร” ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาว่าเป็นนโยบายเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องยอมรับว่าแจกเงินหมื่นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในห้วงปัจจุบันได้เพียงระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ เครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุน ซึ่งในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า นัดล่าสุดที่กระทรวงการคลัง นายกฯ อิ๊งค์ได้กำชับส่วนราชการด้วยว่า เครื่องมือที่สำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจคือการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุนที่มีมูลค่าถึง 9.6 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่าร้อยละ 5 ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

ขอให้ทุกคนในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ร่วมกันผลักเม็ดเงินการลงทุนทุกบาทลงสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อสร้างจีดีพีให้ประเทศ และสร้างรายได้ให้กับประชาชน

ขณะเดียวกัน นายกฯ ยังได้ดึงอีกกลไกสำคัญเข้าร่วม คือ ภาคเอกชนโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย นำโดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. ร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประเทศ

โดยนายกฯ รับข้อเสนอ 4 ประเด็นสำคัญในสมุดปกขาว กกร. คือ 1.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 2.การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 3.การบริหารจัดการน้ำ และ 4.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นอกจากกลไกความร่วมมือในประเทศแล้ว นายกฯ อิ๊งค์ยังเดินสายสานสัมพันธ์ในเวทีโลกเพื่อดึงดูดด้านการลงทุนจากต่างชาติเข้าไทย โดยใช้โอกาสหารือทวิภาคีกับผู้นำชาติต่างๆ และห้วงเวลาต่อจากนี้ต้องจับตาการเดินทางเยือนนครลอสแองเจลิส สหรัฐ และการเดินทางเข้าร่วมการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 31

และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ 10-18 พฤศจิกายน 2567 ที่นายกฯ จะใช้โอกาสขายของให้มากที่สุด ซึ่งหากขายได้ก็จะส่งผลดีต่อการค้าการลงทุนของประเทศไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นอกจากมาตรการและกลไกสำคัญที่รัฐบาลใช้ในการขับเคลื่อนประเทศข้างต้นแล้ว นายกฯ ยังมีทีมกุนซือคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่รวมพลผู้มากประสบการณ์ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไว้ทั้งสิ้น

ประกอบด้วย นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษา นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษา นายธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษา และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ปรึกษา ซึ่งคาดว่าทีมนี้จะมีส่วนสำคัญช่วยเสนอแนะนโยบายด้านต่างๆ กับนายกฯ หญิงได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าประเทศของ รัฐบาลอิ๊งค์แม้เวลานี้ไม่มีอะไรทำให้สะดุด ด้วยเวลาเข้ามาเพียงไม่กี่เดือนที่ต้องให้เวลาในการทำงาน แต่โจทย์ใหญ่ในการกู้สัญญาณชีพเศรษฐกิจไทยต้องเร่งเครื่องต่อไปไม่หยุด และหากทำสำเร็จได้ในรัฐบาลนี้ จะถือเป็นอีกผลงานเรือธงไว้เก็บแต้มในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าได้อีกด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปฏิกิริยาที่หลากหลายในรัฐสภาสหภาพยุโรปต่อชัยชนะของ 'โดนัลด์ ทรัมป์'

ชัยชนะที่ชัดเจนของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาผสมปนเปในรัฐสภายุโรป

'อาจารย์อุ๋ย' เตือนรัฐบาลรับมือสินค้าจีนทะลักรอบใหม่ ส่อหนักกว่าเดิม หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง

นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการพิจารณา

ปชน.ตีเมืองหลวงเสื้อแดง แมตช์ใหญ่"ปักธงท้องถิ่น"

ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 19 ธ.ค.67