10วันหน้า-หลัง"ตากใบเอฟเฟกต์" สัญญาณเตือนเหตุล่อแหลม

พาดหัวข่าวสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงนี้ เป็นไปตามคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่ว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแสดงสัญลักษณ์แห่งการสูญเสียจากเหตุการณ์ตากใบเมื่อปี 2547 โดยคดีความที่เดินหน้ามา 19 ปี กำลังจะหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค.นี้ ท่ามกลางการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับกุมผู้ต้องหาให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

เหตุการณ์ก่อความไม่สงบในพื้นที่เริ่มถี่ขึ้น ไล่ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. คนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง บริเวณข้างกำแพงริมถนนของฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลโต๊ะเด็ง หมู่ 1 ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พบบริเวณกำแพงฐานติดกับเรือนนอน ได้รับความเสียหายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ 2 จุด และกระเบื้องหลังคาได้รับความเสียหายเป็นแนวยาวประมาณ 10 เมตร ข้าวของเครื่องใช้ของเจ้าหน้าที่ อส.ประจำ ชคต.โต๊ะเด็ง กระจัดกระจายเกลื่อนห้องพักจำนวน 3 ห้อง ส่งผลให้ 4 อส.ได้รับบาดเจ็บ             

จากนั้นก็เกิดเหตุเพลิงไหม้เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือเครือข่ายหนึ่ง ท้องที่หมู่ 1 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุของเพลิงไหม้ว่าเป็นไฟฟ้าลัดวงจร หรือเป็นการลอบวางเพลิงของกลุ่มผู้ไม่หวังดี

ค่ำวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จะนะ จ.สงขลา ได้รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยวางอยู่บริเวณริมถนน หน้าศูนย์บริการ เอบีซีการาจ สาขาจะนะ ตั้งอยู่หมู่ 8 ต.บ้านนา จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบวัตถุต้องสงสัยมีลักษณะเป็นถังดับเพลิงสีแดงวางอยู่ในพงหญ้าใกล้คูน้ำริมถนนหน้าศูนย์บริการ จึงปิดกั้นจุดเกิดเหตุเพื่อทำพื้นที่ให้ปลอดภัย ก่อนประสานเจ้าหน้าที่อีโอดีเข้าเก็บกู้เอาไว้ได้อย่างเรียบร้อย

หลังจากนั้นเพียงวันเดียว เจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4208 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ อส.ชคต.บางปู (กองร้อยอาสารักษาดินแดน ชุดคุ้มครองตำบลบางปู) ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยอยู่ในกล่องตู้พักสายไฟบนเสาไฟฟ้า และปลอกกระสุนปืนตกอยู่ในพื้นที่ใกล้กัน จำนวน 3 ปลอก บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) ช่วงหมู่ 1 ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่อีโอดี หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย เข้าตรวจสอบและทำเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยดังกล่าว

ตามมาด้วยเหตุลอบยิง นายนิมะ แวอุมา รองนายกเทศมนตรีตำบลหนองจิก และนายไซดี มะเย็ง พนักงานชลประทาน ได้รับบาดเจ็บ ทั้งคู่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลปัตตานี

ด้วยจังหวะเวลาที่คดีตากใบกำลังจะหมดอายุความ การพูดคุยสันติสุขส่อเค้าเดินหน้าต่อไม่ได้ ผู้รับผิดชอบงานดับไฟใต้มีการเปลี่ยนมือ-รับไม้ ไล่ตั้งแต่ นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะ ผอ.รมน., พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ.รมน., พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 สน. และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช.คนใหม่

  ผู้ลงมือจึงเลือกลงมือช่วงเวลา ณ ตอนนี้ แต่ก็ทำได้แค่เลือกเป้าหมายที่มีความอ่อนไหว เปราะบาง ยังไม่ใช่การปูพรมสร้างเหตุใหญ่ เนื่องจากมาตรการของรัฐในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าคุมเข้ม ตรึงกำลังไว้หลายพื้นที่ ยังไม่ใช่ช่วง “ทีเผลอ” ที่จะทำอะไรได้ง่ายๆ

แต่ที่ต้อง “เฝ้าระวัง” คือ “ร่องรอย” ความเคลื่อนไหวของกลุ่มอาร์เคเคในพื้นที่ จากการข่าวที่เกี่ยวพันกับการซื้อ-ขายวัตถุตั้งต้นในการทำระเบิดแสวงเครื่อง เช่น แผ่นวงจรกว่า 100 ชิ้น จากประเทศเพื่อนบ้าน มีการลักลอบนำเข้ามาในประเทศ กระจายไปสู่จังหวัดต่างๆ พื้นที่ละ 10-20 ชิ้น และยังไม่มีรายงานว่า มีการนำออกนอกพื้นที่เพื่อหวังก่อเหตุในพื้นที่ใจกลางเศรษฐกิจหรือไม่

โดยมีการวิเคราะห์ว่า กลุ่มขบวนการจะใช้ “ยุทธวิธีอ่อนตัว” โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ การโจมตีสัญลักษณ์ที่เป็นรัฐไทย และสร้างความสูญเสียให้กับชีวิตเจ้าหน้าที่รัฐ และทรัพย์สินของรัฐ เลือกเป้าหมายอ่อนไหว ที่สำคัญคือ กลุ่มผู้ก่อเหตุต้องวางแผนล่วงหน้าในการหนีให้พ้นการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ

แต่ที่กังวลคือ ถ้า “ระดับนำ” ของขบวนการเลือกใช้วิธี “กดปุ่ม” ให้ก่อเหตุใหญ่ในคราวเดียวกัน โดยกำหนดกรอบไว้ 10 วันหน้า 10 วันหลัง หรือเกินกว่านั้นเป็นวัน “ดีเดย์” ปฏิบัติการทุกพื้นที่ ประกาศชัยชนะเป็นวันเสียงปืนแตก ด้วยการโจมตีด้วยอาวุธ ลอบสังหาร ซุ่มยิง ไปพร้อมๆ กับการลอบวางระเบิดตาม “ไทม์ไลน์” ที่ต้องเกิดในทุก 2 ศตวรรษ สร้างแรงสั่นสะเทือนให้เหมือนปี 2547

หนึ่งในแผนการรับมือของรัฐในเบื้องต้นคือ การเปิดแผนเหล่านั้นให้ “เสียลับ” เพื่อให้ผู้ก่อเหตุต้องไปจัดตั้ง “ยุทธวิธีใหม่” แต่ในขณะเดียวกัน มาตรการ “แฉ” นี้อาจไม่ได้มีผลต่อการเดินหน้าตามแผนที่ตั้งไว้ เพราะเมื่อจุดพลุเปิดปฏิบัติการพร้อมกัน เจ้าหน้าที่รัฐก็รับมือหรือตั้งตัวไม่ทัน

เพราะขบวนการอาจต้องการเดินหน้าชน เพื่อวัดขุมกำลังทหารฝ่ายตนที่ “ซุ่มซ่อน” อยู่ในพื้นที่ในสถานการณ์ที่นิ่งๆ มาหลายปี เนื่องจากรอดูชัยชนะในอุดมการณ์การเมืองในระบบ จากการเลือกตั้งทั่วไป และเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา ซึ่งมีคนของขบวนการเข้าถึงกลไกรัฐบ้างแล้ว 

  และยังเป็นการวัดความแรงกล้าในอุดมการณ์ และความแข็งแกร่งในศักยภาพของกองกำลังฝ่ายทหารว่า เพียงพอหรือไม่ หลังจากมีการขัดเกลา บ่มเพาะ ในช่องทางเดิมๆ ผ่านภาพเหตุการณ์ความขัดแย้งในโลกมุสลิม อย่าง “อิสราเอล-ปาเลสไตน์” ซึ่งมีหลายหมู่บ้านที่เจ้าหน้าที่รัฐพบการชักธงปาเลสไตน์ แสดงสัญลักษณ์มาประมาณ 1-2 ปีแล้ว 

ภาพรวมสถานการณ์ในพื้นที่ล้วนมีปัจจัยที่ผกผัน หนุนส่งซึ่งกันและกัน งานด้านการข่าว การสร้างเครื่องมือในการเตรียมรับสถานการณ์ จึงเป็นเรื่องจำเป็นในขณะนี้

จึงไม่แปลกที่ “ช่วงต้น” ของการเปลี่ยน กอ.รมน.ภาค 4 สน. จึงได้พบปะพูดคุยกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ ได้ไปพบปะกับประธานคณะกรรมการกลางอิสลาม จ.นราธิวาส การพบกับภาคประชาชน สื่อมวลชน เอ็นจีโอ เปิดใจพูดคุย กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกันมากขึ้น

ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” ต้องจำหน่าย พล.อ.พิศาล ซึ่งเป็นทั้งเพื่อน รร.มัธยมฯ และเป็นรุ่นพี่เตรียมทหารของ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของเพื่อไทย ออกจากพรรคเพื่อลดกระแสลง ด้วยการให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รมว.กลาโหม ซึ่งเคยคิดที่จะนั่งปรับทุกข์กับ พล.อ.พิศาล หลังตกเป็นผู้ต้องหาแล้ว นำใบลาออกมา “โชว์” ต่อหน้าสื่อ

ด้วยสภาวะแวดล้อม และ เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น จึงนับได้ว่าเป็นช่วงที่ล่อแหลม  ต้องเฝ้าระวังอย่างตระหนัก แต่ ไม่ตระหนก!!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?

ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่

ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด

นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย