“แพทองธารบริหารประเทศไม่ถึงเดือน แต่คอพาดเขียง หลังมีคดีร้องเรียนเต็มองค์กรอิสระไปหมด อาทิ ถูกร้องเรื่องจริยธรรม, ครอบงำ, การลาออกจากบริษัทถูกกฎหมายหรือไม่ ฯลฯ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบลดทอนอำนาจองค์กรอิสระให้หมดลง เพื่อให้การบริหารงานประเทศไร้กังวล”
ประเด็นการเมืองร้อนแทรกขึ้นมาท่ามกลางปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน และเศรษฐกิจ
หลังพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ใจตรงกันยื่นแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยมีเป้าหมายคือลดอำนาจการตรวจสอบนักการเมืองผ่านองค์กรอิสระ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และ กกต.
ผ่านการแก้ไขหมวดมาตรฐานจริยธรรม-ความซื่อสัตย์สุจริต, ริบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการลงมติคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยใช้เสียง 2 ใน 3 หรือตุลาการศาลรัฐธรรมต้องลงมติถอดถอน 6 เสียงจากทั้งหมด 9 เสียง เป็นต้น
เท่านั้นยังไม่พอ พรรคเพื่อไทยยังเตรียมยื่นแก้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ในประเด็นแก้ไขเรื่องคุณสมบัติสมาชิกพรรคการเมือง, การยุบพรรคให้เหลือเพียงคดีล้มล้างการปกครอง, ครอบงำพรรค โดยเฉพาะประเด็นดังกล่าวมีการตั้งข้อสังเกตต้องการเอื้อให้ ทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกฯ มาเป็นสมาชิกพรรคได้
รวมถึงเตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายฟ้องคดีต่อศาลฎีกาได้หาก ป.ป.ช.สั่งไม่ชี้มูล หรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง
โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าต้องการเอาใจคนเสื้อแดงให้มีสิทธิ์ฟ้องคดีต่อศาลฎีกาอีกครั้ง หลัง ป.ป.ช.มีคำสั่งไม่รื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุม นปช.เมื่อปี 2553 ทำให้ผู้เกี่ยวข้องจากคดีดังกล่าวพ้นจากทุกข้อหา ใช่หรือไม่
เมื่อประเด็นดังกล่าวเริ่มเข้าสู่สภา เกิดเสียงต่อต้านอย่างกว้างขวาง เพราะมองว่าเป็นการแก้เพื่อนักการเมือง ชาวบ้านไม่ได้ประโยชน์
ผ่านนักเคลื่อนไหวทางการเมือง วุฒิสภา แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย ที่ยึดโยงกับวุฒิสภาสายสีน้ำเงิน รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นตัวแทนของฝ่ายอำนาจเก่า ก็ออกมาขวางเต็มตัว
เนื่อกจากประเมินแล้วว่า หากปล่อยไปจะก่อให้เกิดชนวนความขัดแย้งของสังคมอีกครั้งหนึ่ง และจะเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมัยออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย หรือเหมาเข่ง เพื่อต้องการล้างผิดให้คนโกง จน กปปส.ออกมาชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณ จบด้วยการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557
ขณะเดียวกันนักการเมืองที่เกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ก็สุ่มเสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 114 ที่ระบุว่าห้าม สส.และ สว.กระทำอะไรที่ ขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือ Conflict of interest ซึ่งเรื่องนี้นักร้องต่างๆ ลับมีดรอเตรียมร้องต่อ ป.ป.ช.และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อย
จึงเป็นเหตุให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่ง ไอ้เสือถอย โดยอ้างว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล ก่อนที่พรรคเพื่อไทยสั่งจบเรื่องแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา พร้อมโยนขี้ให้พรรคการเมืองใหญ่ในพรรคร่วมเป็นผู้ริเริ่ม
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ปฏิเสธทันทีว่าไม่ใช่สารตั้งต้นเรื่องนี้
เพราะพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มีปัญหากับเรื่องจริยธรรม และบริหารจัดการมีตัวตายตัวแทนได้ เพียงแต่เกมนี้อาจได้แต้มจากฝ่ายอนุรักษนิยมที่กำลังอ้างว้างหลังหมดยุค “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เริ่มจะเห็นบทบาทที่ชัดเจนว่าเป็นพรรคการเมืองที่คานอำนาจระบอบชินวัตร
อีกทั้งยังช่วยพรรคเพื่อไทยทางอ้อม ช่วยลดความเสี่ยงไปก่อนเวลาอันควร มีเวลาเป็นแกนนำรัฐบาลในการฟื้นความเชื่อมั่นและกอบกู้คะแนนนิยมกลับคืนมาอีก 3 ปี
ฉะนั้นประเด็นเรื่องการแก้ไขปมจริยธรรม พรรคเพื่อไทยจึงยากที่จะปฏิเสธ เพราะเมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด เป็นฝ่ายตัวเองที่กระเหี้ยนกระหือรือเร่งรีบผลักดันอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม จนหลายคนแปลกใจ
เพราะไม่ต้องการให้เหตุการณ์ซ้ำรอย เศรษฐา ทวีสิน ตกเก้าอี้นายกฯ เพราะปมจริยธรรมด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญด้วยมติ 5 ต่อ 4 ใช่หรือไม่
ขณะที่ “แพทองธาร” บริหารประเทศไม่ถึงเดือน แต่ คอพาดเขียง หลังมีคดีร้องเรียนเต็มองค์กรอิสระไปหมด อาทิ ถูกร้องเรื่องจริยธรรม, ครอบงำ, การลาออกจากบริษัทถูกกฎหมายหรือไม่ ฯลฯ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบลดทอนอำนาจองค์กรอิสระให้หมดลง เพื่อให้การบริหารงานประเทศไร้กังวล
แต่เมื่อสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จำเป็นต้องยอมหมอบเพื่อเปลี่ยนเกม โดยมีรายงานว่า แกนนำรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ประเมินหลังรัฐบาลเจอแรงต้านจากสังคม
จึงมีแนวคิดจะกลับไปใช้แนวทางเดิม คือการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรอิสระตามธงให้แล้วเสร็จเสียก่อนตามกระบวนการ จากนั้นจึงยกร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อลดอำนาจองค์กรอิสระ และลดแรงกระเพื่อมทางการเมือง
สำหรับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับคาดว่าใช้เวลาภายในกรอบ 3 ปี โดยขณะนี้กำลังรอการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่ผ่านชั้นสภาแล้ว ซึ่งแก้ไขให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวเพื่อทำให้การทำประชามติง่ายขึ้น
หากกฎหมายประชามติฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ รัฐบาลจึงเริ่มทำประชามติครั้งแรกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ โดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ในช่วงต้นปี 68 พร้อมกับการเลือกตั้งนายก อบจ. และเมื่อประชามติผ่านก็เข้าสู่กระบวนการแก้ไขมาตรา 256 เพื่อกำหนดคุณสมบัติสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จากนั้นจะทำประชามติครั้งที่ 2
เมื่อประชามติผ่านก็จะให้ ส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จ จากนั้นจึงทำประชามติครั้งที่ 3 และเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ จึงเข้าสู่กระบวนการยกร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้งหมดใหม่ไปในคราวเดียว
แต่ความตั้งใจดังกล่าวอาจมาสะดุดหลุดลง เมื่อวุฒิสภาที่มีเสียง สว.สายสีน้ำเงินมากถึง 120-150 เสียง เตรียมนัดประชุมวันที่ 30 ก.ย. โดยมีวาระพิจารณาเรื่องด่วนคือ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ โดยมี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อดีตผู้การบุรีรัมย์ เป็นประธาน กมธ. ได้พิจารณาเสร็จแล้ว
โดยคณะ กมธ.ได้เปลี่ยนเกณฑ์การผ่านประชามติเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยกลับมาใช้แบบ double majority กล่าวคือ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่ทำประชามตินั้น หรือหมายความว่า ต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น หากเป็นกรณีที่ทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนทางกับฝั่ง สภาที่แก้ไขให้เป็นเสียงข้างมากชั้นเดียว
ขณะที่เรื่องทั่วๆ ไปนั้น กมธ.ยังคงหลักเกณฑ์ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว คือ “เสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิ และเสียงข้างมากนั้นต้องสูงกว่าคะแนนไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องที่ทำประชามติ
นันทนา นันทวโรภาส สว.พันธุ์ใหม่ ในฐานะรองโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่...) สภาผู้แทนราษฎร ออกมาฟันธงความประหลาดที่เกิดขึ้นว่า เป็นเกมการเมืองที่ต้องการทำให้กระบวนการทำประชามติไม่ทันเลือกนายก อบจ.ในต้นปี 68 และยังเชื่อเป็นเกมของบางพรรคการเมืองที่ต้องการยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และส่งผลอาจจะเสร็จไม่ทันในรัฐบาลสมัยนี้อีกด้วย
หากสุดท้ายเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเป็นดังที่ สว.พันธุ์ส้ม ประเมินไว้ ท้ายสุดบาปเคราะห์ทางการเมืองก็ตกอยู่ที่พรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล หลังกำหนดนโยบายเร่งด่วนเป็นสัญญาประชาคมเอาไว้ แต่ทำไม่ได้ ล้มละลายทางความเชื่อถือซ้ำแล้วซ้ำเล่า มั่นใจได้เลยว่าประชาชนจะลงโทษผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างสาสมเช่นกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ทักษิณ’ ติวการบ้าน ‘นายกฯอิ๊งค์’ บอกตอบได้ทุกเรื่อง ตอก ‘ปชน.’ อย่ารุ่นใหม่แค่อายุ
‘ทักษิณ’ ติวการบ้าน ‘อุ๊งอิ๊ง’ บอกตอบได้ทุกเรื่อง ตรงไปตรงมา ตอก ปชน. อย่ารุ่นใหม่แค่อายุ ลั่น ไม่มีใครมีสิทธิ์แลกประเทศ บอก มอนิเตอร์ซักฟอกแน่นอน ด่ามาได้ยิน รับ ‘ยิ่งลักษณ์’ ยังไม่ได้กลับสงกรานต์นี้ เหตุยังไม่เหมาะสม ระบุ ยังไม่คิดจับมือพรรคส้มตอนนี้ เป็นเรื่องอนาคต
‘วิโรจน์’ งัดวิทยายุทธ์กระบวนท่าที่ 5 ‘มังกรกงสีอิ่มหมีทั้งตระกูล’ ประเดิมซักฟอกวันแรก
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊ก Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
ภาคประชาชน จี้ 5 ประเด็นใหญ่ ทวงคำตอบการทำงานจากรัฐบาลอิ๊งค์
ภาคประชาชนขอทวงถามการทำงานของรัฐบาลระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี 5 เรื่อง
‘หมอเชิด’ ย้ำอภิปรายนายกฯวันเดียวควรจบแล้ว อัดฝ่ายค้านจ้องอภิปรายคนนอก
"หมอเชิด" ระบุ อภิปรายไม่ไว้วางใจ แค่ 24 ชม.ก็พอแล้วเพราะ นายกฯทำงานได้เพียง 6 เดือน และจะจ้องอภิปรายคนนอก ในชั้น 14 มากกว่าเรื่องของประเทศ แบบนี้ถูกหรือ
เลขาฯ ป.ป.ช. รับเองคดีชั้น 14 อืดไม่คืบหน้า
เลขาฯ ป.ป.ช. รับ คดีชั้น 14 อืด เหตุติดปัญหาขอข้อมูลจากหน่วยงานอื่น ลั่น พยายามเก็บหลักฐานทุกมิติ หวังได้ข้อเท็จจริงมากที่สุด ไม่ฟันธง ใช้เวลาอีกนานหรือไม่
‘เป็นนายกฯเมื่อพร้อม’ วิจารณ์เดือด! ปม ‘แพทองธาร’ ทำงานไปเลี้ยงลูกไป
พิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. โพสต์วิจารณ์แรง หลังนายกฯ อ้างติดภารกิจเลี้ยงลูกระหว่างศึกซักฟอก ชี้หากบริหารประเทศไม่ได้เต็มที่ ควรลาออก