ลุ้นเรือดำน้ำในมือ“แมว” ส่องฉก.คอแดงในยุค“ปู”

หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ “โผทหาร” ไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แรงกระเพื่อมโดยเฉพาะในกองทัพเรือ (ทร.) ที่เกิดขึ้นต้องถือว่า “จบ” ไปโดยปริยาย ปฏิกิริยาทิ้งท้าย ทั้งการโพสต์แสดงความเห็น ความรู้สึก ที่คน ทร.สะท้อนความอัดอั้นตันใจก็คงเป็น “ควันหลง” ให้เป็นข้อสังเกตต่อไป

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทร.ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และมีการตั้งถามว่าเกิดอะไรขึ้นในองค์กร เพราะการเลือกผู้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทร.ครั้งนี้ เกิดความขัดแย้งหนักกว่าในอดีต และเป็นการตอกย้ำวัฒนธรรมการโยกย้าย “ยุคใคร-ยุคมัน”

แต่เมื่อมี ผบ.ทร.คนใหม่แล้วก็ต้องติดตามต่อไปว่า นโยบายและแนวทางของ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ จะสานต่อภารกิจเฉพาะหน้า การเดินหน้าโครงการเรือดำน้ำต่อไปได้หรือไม่ และเสริมสร้างศักยภาพของ ทร.อย่างไร

โดยเฉพาะเรื่อง “เรือดำน้ำ” หลังจากพ้นมือจาก “สุทิน คลังแสง” มาแล้ว ความเป็นไปได้ในการเดินหน้าต่อยัง 50:50 ซึ่งหากรัฐบาล และ รมว.กลาโหมในยุคของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ล้มเลิกโครงการ ก็มีความสุ่มเสียงที่จีนจะไม่คืนเงินงวดที่ทางการจ่ายไปให้เกือบ 8 พันล้านบาท และนำ S26T ที่ต่อให้ไทยส่งต่อให้ “กัมพูชา” ซึ่งกำลังเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ขุดคลอง “ฟูนันเตโช” ซึ่งก็มีผลต่อยุทธศาสตร์ทางทะเลฝั่งอ่าวไทย

ในทางตรงข้าม หากเดินหน้าต่อจะมีการบริหารจัดการงบประมาณซื้อ “เรือผิวน้ำ” ให้เพียงพอกับยุทธศาสตร์ที่วางไว้ตามที่ระบุไว้ในสมุดปกขาวหรือไม่

ปัจจัยอีกประการคือ ข้อจำกัดของแคนดิเดตทั้งหมดเหลืออายุราชการแค่เพียงปีเดียว พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.คนปัจจุบัน ก็ต้องวางทายาทรับไม้ต่อในปี 2568 ไว้ด้วย ซึ่งในโผนี้ก็มีชื่อของ พล.ร.ท.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ (ตท.24) รอง เสธ.ทร. (เกษียณปี 69) ขึ้นเป็น เสธ.ทร., พล.ร.ท.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช (ตท.25) เจ้ากรมข่าว ทร. ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (เกษียน 69), พล.ร.ท.พิจิตต ศรีรุ่งเรือง (ตท.25) ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทร. (เกษียณปี 69), พล.ร.ท.สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช (ตท.25) ผู้บัญชาการทัพเรือภาค 3 ซึ่งขึ้นเป็นที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ (เกษียณ 70)

ขณะที่ “โผ ทบ.” ซึ่งอุณหภูมิในการสู้รบร้อนฉ่าในช่วงต้นๆ แต่ก็จบลงได้อย่างราบคาบเมื่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. ส่งชื่อ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. และ พล.ท.อมฤต บุญสุยา (ตท.27) แม่ทัพน้อยที่ 1 ขึ้นเป็น แม่ทัพภาคที่ 1 จนชื่อไฟเขียวผ่านตลอด ทำให้โผ ทบ.จึงตัดจบอย่างไม่สะดุด

แต่ปฏิกิริยาจากนั้นคือ แนวโน้มปรับการบังคับบัญชา “ฉก.คอแดง” หรือหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 ใหม่เพื่อเป็นหลักประกันสนองงานของหน่วยบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 โดยมีกระแสข่าวว่า ต่อไป ผบ.ฉก.ทม.รอ. อาจจะไม่ใช่ ผบ.ทบ.เหมือนเดิม

ในประเด็นนี้มีทั้งนัยเรื่องของการบังคับบัญชา ที่ไม่อยากให้มีการทับซ้อนหน่วยใหญ่ และจะมีการ “เทกโอเวอร์” การเลื่อน ลด ปลด ย้าย จากการเลือกคนมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. เพราะต้องยอมรับว่าในยุคของ “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย และแนวโน้มในยุคของ “บิ๊กปู” พล.อ.พนา ก็ไม่ได้สั่งซ้ายหัน-ขวาหันได้ 100 เปอร์เซ็นต์

แต่อีกนัยหนึ่ง ส่งผลให้เกิดแนวคิดการ “ลดไซส์” ผบ.ฉก.ลงมาแค่ระดับแม่ทัพภาค (จากเดิมแม่ทัพภาคที่ 1 จะดำรงตำแหน่ง เสธ.ฉก.ทม.รอ.) เพื่อจะได้สั่งใช้งานได้โดยตรง ไม่ต้องผ่าน ผบ.ทบ. จากเดิมที่มีข้อเสนอให้เป็น ผบ.เหล่าทัพอื่น แต่มีการคัดค้านเพราะเหล่าทัพอื่นไม่ได้มีกำลังพลสนับสนุนมากเท่ากับ ทบ.

แต่การจัดระเบียบใหม่จะมีข้อดีในแง่ของการฟื้นฟูหน่วยในโครงสร้างปรกติ เพื่อให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง มีความพร้อมในภารกิจหลัก เช่น การเตรียมกำลังเพื่อปกป้องอธิปไตย และภารกิจสนับสนุนในงานบรรเทาสาธารณภัย

เพราะหากนับการจัดโครงสร้าง ทม.รอ.904 ตั้งแต่ปี 2559-2560 ช่วงเปลี่ยนรัชสมัย และมีการตั้ง ฉก.ทม.รอ.904 ต่อจากนั้นในปี 2560-2561 ปรับโครงสร้างใหม่ โดยมี พล.1 รอ.และ ร.11 รอ.เข้าไปเป็น ฉก.ทม.ฯ มีการฝึกหลักสูตรทหารสัญญาบัตรให้กับหน่วยขึ้นตรงเหล่านั้น รุ่นแรกๆ ที่เข้ารับการฝึก เช่น พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี พล.อ.สมบัติ ธัญญะวัน เป็นต้น

ภารกิจของ ฉก.คอแดง คือ การสนับสนุน ทม.รอ.904 คือ ถวายพระเกียรติ และ ถวายการรักษาความปลอดภัย รับ-นำ-ตาม-แซงเสด็จฯ นอกจากนั้นยังมีภารกิจในการปกป้องสถาบัน ตามแนวทางสนับสนุนงานด้านการข่าว เผยแพร่ข้อมูลให้สาธารณชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง

แต่ด้วยธรรมชาติของทหารไม่ได้ถูกฝึกให้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่นไลน์ ด้วยการบริหารจัดการ สั่งการ และประเมินผลด้วย “ยอดกดไลก์-ยอดการเข้าชม-การมีส่วนร่วม” จนภารกิจที่เพิ่มขึ้นมากลายเป็นคำถามว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แม้จะเห็นว่าอุดมการณ์การเมืองของฝ่ายส้มจะมุ่งเซาะกร่อน-บ่อนทำลายสถาบัน

แนวทางในการมองปัญหาของ ผบ.เหล่าทัพยุคใหม่จึงมองไปที่บริบททางการเมือง โดยการเปิดประตูกองทัพให้ผู้ที่ตั้งคำถามหรือมีข้อสงสัยต่างๆ ว่าจะอยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติหรือกลุ่มมวลชนเข้ามาพูดคุย รับฟังปัญหาอย่างต่อเนื่อง เช่น กมธ.ความมั่นคงฯ-กมธ.ทหารฯ ที่เข้ามาแล้ว จากนั้นก็เป็นการประสานงาน พูดคุยในกรณีที่ไม่เข้าใจได้อย่างไม่เป็นทางการ

ไม่เลือกวิธีผลักผู้เห็นต่างให้ไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม ทำลายล้าง จนเป็นเงื่อนไขให้ไปปลุกระดมในคนรุ่นต่อไป ขณะเดียวกันในส่วนของกองทัพเองก็ไม่ต้องเข้าไปยุติความขัดแย้งทางการเมือง นำกำลังออกมาปฏิวัติรัฐประหารเป็นวัฏจักรเหมือนในอดีต

ทำให้การจัดทัพของคอแดง ทบ.ในปีนี้จึงมีทั้งหมากในการ “คุมสภาพ” และ “หมุนเวียนกำลัง” ส่วนหนึ่งคือการส่ง พล.ต.วรยศ เหลืองสุวรรณ (ตท.28) รองแม่ทัพภาคที่ 1 ขยับขึ้นมาเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 จากเดิมที่มีโจทย์ “ฟาสต์แทร็ก” เหมือนโมเดลของปู-พนา เพื่อดันขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เลยทีเดียว เพื่อให้ทันขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ก่อนปีที่เกษียณอายุราชการ

และให้ พล.ท.อมฤต บุญสุยา (ตท.27) แม่ทัพน้อยที่ 1 ทหารเสือราชินี ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และหมุนเวียนเอา “รองแอ่ม” พล.ต.ณัฐเดช จันทรางศุ (ตท.28) รองแม่ทัพน้อยที่ 1 กลับมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 แล้วให้ “ผบ.ลาภ” พล.ต.สิทธิพร จุลปานะ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) เป็นรองแม่ทัพน้อยที่ 1

ขณะที่หมุนเวียนรุ่น ตท.30-31 ลงใน “คอแดงโรงเรียน” ได้แก่ พล.ต.เทพพิทักษ์ นิมิตร (ตท.31) ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) เป็นรอง ผบ.รร.จปร. พล.ต.เอกอนันต์ เหมะบุตร (ตท.30) ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 เป็นรอง ผบ.รร.จปร. พล.ต.วุทธยา จันทมาศ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 เป็นรองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก พล.ต.โกญจนาท ธูปเทียนรัตน์ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ เป็นรองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก

ที่สำคัญคือ การวางทหารเสือราชินีไว้ใน 3 กองพลสำคัญ ได้แก่ พ.อ.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา (ตท.32) รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. ขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ., พ.อ. กิตติ ประพิตรไพศาล (ตท.31) รอง ผบ.พล.2 รอ. ข้ามขึ้นเป็น ผบ.พล 1 รอ., พ.อ.ยุทธยา มีเจริญ (ตท.30) ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11

อาจเรียกได้ว่าใน 3 ปีต่อจากนี้เป็นยุคของการเปลี่ยนผ่านของ ทบ. ปรับยุทธศาสตร์ในการรับมือกับภัยคุกคามด้านต่างๆ และการเมืองที่ยังมีความสลับซับซ้อน หลังจากที่หลังแอ่นมาหลายปี.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถกนัดแรก‘5กุนซือ’นายกฯอิ๊งค์ ปักธง‘ไทยพ้นยากจน’รัฐบาลนี้

ได้ฤกษ์รัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์”-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถกนัดแรก “คณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี” ที่ บ้านพิษณุโลก บ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเรือนรับรองแขกสำคัญของรัฐบาล

พท.ชิดซ้าย พรรคส้มดีดกว่า สุดซอยจ้องโละ 'จริยธรรมรมต.'

ถอยร่นไม่เป็นขบวนไปแล้วสำหรับ พรรคเพื่อไทย เมื่อแสดงท่าที โยนผ้าขาว-ไอ้เสือถอย ส่ออาการไม่ไปต่อ เลิกกลางคันกับการเร่งรัดเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่ยื่นร่างต่อรัฐสภาไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อกระแสสังคมนอกจากไม่เอาด้วย แรงต้านมีมากขึ้นเรื่อยๆ

'บิ๊กดุง' ควง 'บิ๊กแมว' แนะนำตัวสื่อ ชื่นมื่น ฝากช่วยหนุนเรือดำน้ำ อย่าให้เป็น10ปีที่สูญเปล่า

พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมนายกสมาคมภริยาทหารเรือ พบปะอำลาสื่อ และ ได้เชิญพลเอกจิรพล ว่องวิทย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ผู้บัญชาการทหารเรือคนใหม่และภริยา มาแนะนำตัวกับต่อสื่อมวลชน

เปิดเส้นทาง ‘บิ๊กแมว’ ฝ่ากระแสต้านขึ้นเป็น ‘ผบ.ทร.’ คนใหม่

ในส่วนของกองทัพเรือ เรียงเสียงฮือฮาไม่น้อย เมื่อ บิ๊กแมว-พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ (ตท.23) ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ขึ้นเป็น ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)

จบ-จัดทัพบิ๊กทหาร ถึงคิวผบ.ตร.-เลขาฯสมช.

เหลืออีกเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น ก็จะถึงวันที่ 30 กันยายน ที่เป็นวันสิ้นสุดปีงบประมาณ และเป็นวันสุดท้ายของข้าราชการที่เกษียณอายุ ทำให้หลายหน่วยงานภาครัฐต้องมีการจัดทัพด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีให้เสร็จโดยเร็ว แต่หากไม่ทันก็รอไปถึงเดือนตุลาคมได้ โดยให้ผู้อยู่ในตำแหน่งรองฯ ปฏิบัติราชการแทนไปก่อน จนกว่าการแต่งตั้งโยกย้ายจะเสร็จสิ้น แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เกินเดือนตุลาคม