พลิกดูประวัติศาสตร์หน้าถัดไป ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์สั่งยุบพรรค 'ก้าวไกล' พร้อมเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 10 ปี จากนโยบายการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
เนื่องจากเห็นว่ามีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครอง และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หากเรียงดูตามการลำดับภาพ ตั้งแต่คลิปวิดีโอ ‘Unbreakable ข้าไม่ตาย’ ซึ่งมีใจความ “เมื่อบางสิ่งขวางหูขวางตา คุณไม่พอใจกับการมีอยู่ของสิ่งนั้น คุณอาจคิดว่าวิธีการจัดการที่ง่ายที่สุดก็คือทำลายมัน แต่บางสิ่งไม่ว่าคุณพยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจทำลายมันได้”
“ความหวัง ความฝัน อุดมการณ์ จะถูกส่งต่อไปไม่สิ้นสุด จะไม่มีวันถูกทำลาย แมัจะถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“สายลมการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว ไม่มีใครฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดไป การเดินทางได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง จุดหมายปลายทางยังอีกไกลและเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ปลายทางของมันสว่างไสว”
ล้วนรายล้อมด้วยสัญลักษณ์สื่อความหมาย ‘การถูกทำลายและการเกิดใหม่’ พร้อมแทรก ‘Easter Egg’ ภาพโคลสอัป เห็นเพียงดวงตา สส.บางส่วนของอดีตพรรคก้าวไกล ให้คนเดากันไป
ต่อเนื่องกับการแถลงครั้งใหญ่ นำโดย นายชัยธวัช ตุลาธน อดีต สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส.ของอดีตพรรคก้าวไกล อดีตกรรมการบริหารพรรค สก. ตลอดจนสมาชิกพรรค ณ อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล
นายชัยธวัช ยืนยันหนักแน่น "ทั้งทางข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายที่ควรจะเป็น ว่าพรรคไม่ได้กระทำการล้มล้างการปกครอง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองอย่างที่ศาลเห็น"
และชี้ว่า "ผลของคำวินิจฉัยนี้ จะมีผลกระทบที่สำคัญกว่า คือ เป็นการวางบรรทัดฐานในการตีความรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ที่อันตราย สุ่มเสี่ยงกระทบต่อหลักการสำคัญ และคุณค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นของระบอบการปกครองในอนาคต และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ในระยะยาวอาจกลายพันธุ์ไปเป็นระบอบอื่นได้"
ตัดสลับให้ นายพิธา ขึ้นกล่าวอำลา "ในฐานะนักการเมือง และผู้แทนราษฎร ว่าการเดินทางบนนั้นของผมได้จบลง แต่ในขณะเดียวกันจะเริ่มต้นทางการเมือง ทำทุกวิถีทางในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง เพื่อทำให้บ้านเมืองดีขึ้น และช่วย 'พาหนะใหม่' ของเพื่อนอดีตพรรคก้าวไกล ตามที่กฎหมายอนุญาต เพื่อทำให้พวกเขาสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา"
ทิ้งฉากสุดท้ายก่อนม้วนม่านปิดไว้ที่ นางสาวศิริกัญญา บุคคลที่หลายฝ่ายต่างลงความเห็นตรงกันว่า จะได้ขึ้นนั่ง 'หัวหน้าพรรค' ด้วยภาพลักษณ์ผู้นำหญิง
โดยการย้ำ "พรรคจะไม่ละทิ้งความฝัน ไม่ละทิ้งภารกิจหน้าที่ที่ได้รับมอบมาจากประชาชนทุกคน ตราบใดที่ประชาชนทุกคนยังอยู่เคียงข้างหนุนหลังให้เดินต่อไปข้างหน้า จะทำภารกิจเปลี่ยนประเทศนี้ต่อไป และอยากขอร้องให้ไปต่อกับเราในบ้านหลังใหม่ให้มากกว่าเดิม"
พร้อมจำใจปรับบท เนื่องเพราะถูกบังคับด้วยเค้าโครง และองค์ประกอบโดยรวม ทำให้กรรมการบริหารพรรคเดิมต้องเปลี่ยนไปเล่นต่อนอกสภา รักษาแอร์ไทม์ด้วยวิธีลงไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งเล็กๆ แทน ขนานกับการรณรงค์ทางความคิดของ ‘คณะก้าวหน้า’
แล้วเริ่มต้น ‘เรื่องราวใหม่’ ด้วยการปล่อยทีเซอร์ ผ่านการปราศรัยของบรรดา ‘แกนนำแถวหน้า’ ที่อาจได้ยกระดับขึ้นมาเป็น ‘ตัวละครหลัก’
คั่นด้วยการเตรียมการขณะนี้ ที่ให้ผู้แทนราษฎรอดีตพรรคก้าวไกลทั้งหมด สมัครสมาชิกพรรคใหม่รอ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อพรรคไว้ก่อนแล้ว
ก่อนจะเฉลย ‘ชื่อเรื่อง’ และ ‘นักแสดงนำ’ ในการแถลงเปิดตัวพรรค และกรรมการบริหารชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ในเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 9 ส.ค.ที่จะถึง
คาดการณ์กันว่า นอกจาก นางสาวศิริกัญญา แล้ว ก็จะมี ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ รับบทบาท ‘เลขาธิการพรรค’ พร้อมขยับให้ ‘นายพริษฐ์ วัชรสินธุ’ อดีตโฆษกพรรคก้าวไกล ขึ้นมาเป็น ‘รองหัวหน้าพรรค’
แต่ยังมีองก์ต่อไปที่น่ากังวลมาก ในกรณีการเข้าชื่อแก้ไข มาตรา 112 ของ 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
เนื่องจากหาก ป.ป.ช.ไม่เลือกพิจารณารายกรณี แต่เหมารวมทั้งหมดว่าผิด จะทำให้รายชื่อตัวเต็งผลุดโผเกือบยกแผง จนกลายเป็น ‘คอนฟลิกต์ใหญ่’ ของเรื่อง ส่งผลให้ต้องมีการรื้อและเกลี่ยบทใหม่อีกครั้ง บทไหลไปถึงพระรองอย่าง นายพริษฐ์ ที่ยังไม่ได้เป็น สส.ในขณะนั้น มาทำหน้าที่ ‘หัวหน้าพรรคคนต่อไป’ ดึงเรตติ้งไว้ก่อนหรือไม่
กว่าเรื่องราวจะดำเนินไปถึงจุดนั้น ‘แกนนำรุ่นที่จะขึ้นมาใหม่’ คงต้องเร่งกอบโกยคะแนนนิยมเท่าที่เวลาอำนวยให้ได้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างนี้ หรือต้องมีการปรับแก้เพิ่มอีกกี่ครั้ง เพื่อยืดเวลาประคองเรื่องไม่ให้ถูกถอดออกจากผังไปก่อนการเลือกตั้ง 2570
ตามดำริของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะก้าวหน้า ที่ว่า
“พรรคมวลชนที่เข้มแข็งคืออาวุธเดียวที่ประชาชนมีในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
เส้นขอบฟ้าทางการเมืองของเรา คือการเลือกตั้ง 2570 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 3 หลังจากการตั้งพรรคอนาคตใหม่ หลังจากการเดินทางก้าวแรกของเรา
2570 คือปีที่เราต้องชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เราจะทำให้ทศวรรษ 2570 จะเป็นทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลง นั่นคือที่ที่เราจะไป”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อิ๊งค์’สะกดอารมณ์ฝ่าซักฟอก2วัน รอลุ้นคะแนนโหวต-งูเห่าสมทบ!
ผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ใช้เวลา 2 วัน 24-25 มีนาคม ก่อนลงมติวันนี้ 26 มีนาคม 2568 ซึ่งลีลาของ “นายกฯ อิ๊งค์” ในการแจงข้อซักฟอกถือว่าสามารถสะกดอารมณ์ได้ดี ไม่ปล่อยหมัดเด็ดตรงๆ ใส่ฝ่ายค้าน แต่ใช้ความนิ่งตอบเจ็บๆ ในบางช่วงเช่นกัน
‘ฝ่ายค้าน’ซักฟอก‘นายกฯอิ๊งค์’ ขยายแผล ปูทาง ยื่น 'ป.ป.ช.'
เปิดฉากกันไปแล้ว ศึกซักฟอก อุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้คอนเซปต์ ‘ดีลแลกประเทศ’ วันแรก ไฮไลต์สำคัญ ช่วงเช้าหนีไม่พ้นการเปิดหัวของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และการลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ระเบิดศึกซักฟอก ดีลแลกประเทศ ขยี้"นายกฯอิ๊งค์"ขย้ำ"ทักษิณ"
หลังการเมืองไทยว่างเว้นจากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจมาร่วม 2 ปีเศษ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ค.2565 ตอนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาวันนี้สิ้นสุดการรอคอยกับศึกซักฟอก-เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ซักฟอก ‘ดีลแลกประเทศ’ ฟ้องสังคม ‘ชินวัตร’ ได้อะไร
จับตาอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม ตั้งแต่เช้าจนถึงตี 5 และลงมติในวันที่ 26 หรือ 27 มีนาคมนี้ ภายใต้ธีม
สแกนข้อมูล‘ฝ่ายแค้น’ แตกหักหรือแบล็กเมล
นอกจากบทบาทของพรรคประชาชน (ปชน.) ในการซักฟอกระหว่างวันที่ 23-24 มี.ค. ต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้ธีม “ดีลแลกประเทศ” ว่า สุดท้ายจะทำหน้าที่สมศักดิ์ศรีหรือไม่
โหมโรงศึกซักฟอก “ดีลแลกประเทศ”
ภายหลังที่ประชุม ‘วิป 3 ฝ่าย’ ได้ข้อยุติกรอบเวลาใน ‘การอภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ทั้งหมด 37 ชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 24 มี.ค. แบ่งเป็น ฝ่ายค้าน 17 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลรวมกับคณะรัฐมนตรี 3.5 ชั่วโมง และประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 21.5 ชั่วโมง คาดว่าหากมีการเริ่มอภิปรายในเวลา 08.00 น. จะเลิกในเวลา 05.30 น. ของวันที่ 25 มี.ค.