วันอังคารนี้ 23 ก.ค. คาดว่าคงไม่เกินช่วงเที่ยงๆ ก็จะได้รู้กันแล้วว่า ผลการโหวตของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อเลือก ประมุขสภาสูง-ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง-รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง รวมสามเก้าอี้ใหญ่สภาสูงจะออกมาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม แวดวงการเมือง-สว.จำนวนมากในสภาสูงต่างเชื่อว่า ทุกตำแหน่งจะเป็นไปตามโผ ที่ บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ซึ่งคุมเสียง “สว.สีน้ำเงิน” ที่มีร่วมๆ 144-150 เสียงเคาะออกมา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ก.ค. หลัง สว.สีน้ำเงินไปรวมตัวกันที่ เซฟเฮาส์โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ซึ่งมีการแจ้งให้ สว.สีน้ำเงินโหวตตามชื่อที่เคาะออกมา คือ
มงคล สุระสัจจะ หรือ “บิ๊กหมง-พี่จ้อนของบรรดาสิงห์คลองหลอด-มหาดไทย” ดีกรีอดีต ผวจ.บุรีรัมย์ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน สายตรง บ้านใหญ่บุรีรัมย์-เนวิน ชิดชอบ เป็นประธานวุฒิสภา ซึ่งพบว่าวันที่ สว.สีน้ำเงินไปรวมตัวเช็กชื่อ-รับโผที่โรงแรมพูลแมนฯ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตัวมงคลก็ไปปรากฏตัวเพื่อเช็กเสียงเล่นบทพี่ใหญ่ สว.สีน้ำเงินด้วยตัวเอง
และให้โหวตสนับสนุน บิ๊กเกรียง พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อนร่วมรุ่น วปอ.คอนเนกชัน อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 จากเดิมที่ก่อนหน้านี้เคยมีชื่อคั่วเก้าอี้ประธานวุฒิสภา ต่อมาก็มีข่าวจะสไลด์ไปเป็นประธาน กมธ.ทหารฯ แต่โผสุดท้ายมาจบที่รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง
ส่วนตำแหน่งสุดท้าย รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง สัญญาณส่งมาก็คือ ให้โหวตหนุน บุญส่ง น้อยโสภณ อดีต กกต.-อดีตอธิบดีศาลอุทธรณ์ภาค 7 เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่สอง
ซึ่งด้วยจำนวนเสียงของ สว.สีน้ำเงินที่มีมากร่วมๆ 140 เสียง และยังมีเสียง สว.จากแนวร่วม เช่น สว.บ้านป่ารอยต่อฯ อีกประมาณ 10 เสียง รวมถึง สว.อิสระที่เคยไปนัดหารือเปิดตัวกันที่ตึก CS ทาวเวอร์ รัชดาฯ เมื่อวันที่ 18 ก.ค. อีกจำนวนหนึ่ง
ลำพังแค่ สว.สามกลุ่มนี้จับมือแพ็กกันแน่น มันก็ยากที่ สว.กลุ่มอื่นๆ เช่น สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ ที่จะส่ง ดร.นันทนา นันทวโรภาส-ดร.แล ดิลกวิทยรัตน์-อังคณา นีละไพจิตร ที่กลุ่มพันธุ์ใหม่ส่งลงชิงประธานวุฒิสภา-รองประธานวุฒิสภา ตามลำดับ ดูแล้วโอกาสยากมากที่จะเบียดแชร์เก้าอี้ไปได้
เพราะอย่างกระแสเรียกร้องของกลุ่มพันธุ์ใหม่ที่ต้องการให้มีการให้โควตา สว.ผู้หญิงได้เป็นรองประธานวุฒิสภาสักหนึ่งคน
ปรากฏว่า ไม่ได้รับการขานรับมากนักจาก สว.กลุ่มอื่น ขนาด สว.ผู้หญิงด้วยกันเองแต่อยู่กลุ่มอื่นก็ไม่ขานรับ
ทำให้แกนนำ สว.กลุ่มสีน้ำเงิน ที่เดิมที ก็คิดจะดัน สว.สีน้ำเงินไปเป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่สอง แต่หาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ผนวกกับไม่ต้องการให้เกิดภาพว่า สว.สีน้ำเงิน “กินรวบ-ยึดหมด” ทั้งสามเก้าอี้จึงให้โควตารองประธานวุฒิสภากับนายบุญส่ง ที่เคยไปเปิดตัวกับกลุ่ม สว.อิสระที่ตึกรัชดาฯ เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง สว.สีน้ำเงินกับ สว.กลุ่มอิสระ และที่สำคัญทำให้ลดแรงต้านจาก สว.ด้วยกันเองที่ไม่ต้องการให้ สว.สีน้ำเงินกินรวบทุกเก้าอี้ ทำให้เกิดภาพประนีประนอมระหว่าง สว.สีน้ำเงินกับกลุ่มอื่นๆ
แม้จะมีเสียงซุบซิบการเมืองตามมา โดยมีการให้ข้อมูลอีกด้านว่า จริงๆ แล้ว นายบุญส่งก็เป็น สว.ในเครือข่ายสีน้ำเงินเช่นกัน แต่ไม่ใช่ “น้ำเงินเข้ม-เป็นพวกน้ำเงินอ่อน”
ลือกันว่า ที่ผ่านมาบุญส่งและ สว.ใกล้ชิดมีการติดต่อเชื่อมคอนเนกชันกับกลุ่มสีน้ำเงินมาตลอด เพียงแต่ไม่ไปเปิดตัวหรือไปทำกิจกรรมร่วมกับ สว.สีน้ำเงิน แต่มีการคอนแทรกต์กับระดับเฮดๆ ของกลุ่มสีน้ำเงินไว้นานแล้ว จึงทำให้นายบุญส่งก็ถือเป็นคนในเครือข่ายสีน้ำเงินเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแม้ ศึกชิงอำนาจสภาสูง กับสามเก้าอี้สำคัญ ประธานวุฒิสภา-รองประธานวุฒิสภา จะจบในวันที่ 23 ก.ค. แต่ดูจากสถานการณ์ต่างๆ ในสภาสูงต่อจากนี้ที่มีการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊กแบ่งสีกันชัดเจน โดยมี สว.สีน้ำเงินคุมเสียงเกือบเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังมี “สว.เสียงข้างน้อย” ที่พร้อมจะตรวจสอบ-ตั้งป้อมสู้กับ สว.สีน้ำเงินทุกกระบวนท่า โดยเฉพาะในจังหวะสำคัญๆ ทางการเมือง
สภาพการณ์เช่นนี้ ทำให้แม้จบศึกชิงเก้าอี้ประธานวุฒิสภา-รองประธานวุฒิสภา แต่ศึกภายใน-ความขัดแย้งระหว่าง สว. 200 คนอาจไม่จบ ยังอาจมีให้เห็นเรื่อยๆ
ที่น่าจับตาก็คือ มีกระแสข่าวว่าแผนคุมสภาสูงของบ้านใหญ่บุรีรัมย์-สว.สีน้ำเงินยังไม่หมดแค่ส่งคนของตัวเองไปเป็นประธานวุฒิสภา-รองประธานวุฒิสภา
เพราะ “แผนสอง-คุมสภาสูง” กำลังจะออกมาต่อจากนี้ นั่นก็คือ การส่ง สว.สีน้ำเงินเข้าไปคุมกลไกในคณะกรรมาธิการสามัญฯ ทุกชุดของวุฒิสภา ด้วยการดัน สว.สีน้ำเงินไปนั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการให้มากที่สุด หรืออาจยึดคุมหมดยกแผงทุกคณะเลยก็ได้!
ร่ำลือกันไปทั่วในกลุ่ม สว. 200 คนว่า สว.กลุ่มสีน้ำเงินมีการทำโผประธานคณะกรรมาธิการสามัญวุฒิสภาไว้เกือบหมดแล้ว โดยมีวิธีการคือ ส่ง สว.ในกลุ่มคนไปนั่งเป็นกรรมาธิการคณะต่างๆ จากนั้น ตอนโหวตเลือกประธาน กมธ.ฯ ก็จะใช้เสียงข้างมากในกรรมาธิการที่ส่วนใหญ่เป็น สว.สีน้ำเงิน โหวตให้ สว.สีน้ำเงินได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการสามัญเกือบทั้งหมดของวุฒิสภา
ข่าวบอกว่า กลุ่มสีน้ำเงินจะให้โควตาประธาน กมธ.ชุดสำคัญเกรดเอกับ สว.ในกลุ่มประมาณ 3-4 คน ที่ไม่พอใจ ที่ไม่ได้ลุ้นลงชิงเป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่งและคนที่สอง เพราะบางคนเดินเกมเงียบ ซุ่มขอคะแนนเสียง สว.สีน้ำเงินด้วยกันเองและสว.กลุ่มอื่นๆ มาร่วมสองอาทิตย์ แต่สุดท้าย บ้านใหญ่บุรีรัมย์ไม่สนับสนุนจนผิดหวัง-ไม่พอใจ ดังนั้นกลุ่มสีน้ำเงินก็จะปลอบใจด้วยการให้เป็นประธาน กมธ.ฯ
จับกระแสในตึกวุฒิสภาพบว่า เริ่มมี สว.หลายคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน ชักไม่พอใจที่กลุ่มสีน้ำเงินวางแผนจะส่ง สว.ในกลุ่มตัวเองมากินรวบเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการเกือบทั้งหมดของวุฒิสภา ชนิดไม่แบ่งให้กลุ่มอื่น
เมื่อเป็นแบบนี้ ถึงต่อให้การเลือกประธานวุฒิสภา-รองประธานวุฒิสภาจบไปแล้ว แต่ปัญหาความขัดแย้งในการทำงานร่วมกันของ สว.ก็จะมีให้เห็นต่อไป หาก สว.สีน้ำเงินยึดหมดทุกตำแหน่ง รวบหมดทั้งกระดานอย่างที่วางแผนไว้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ดีเอสไอ" รับเผือกร้อนต่อ สางคดี "ดิไอคอน" ไม่ใช่เรื่องง่าย
คดีดิไอคอนกรุ๊ปถือเป็นหนึ่งในคดีฉ้อโกงประชาชนและฟอกเงินที่ใหญ่ระดับประเทศ โดยมีความเสียหายสูงถึงเกือบ 3,000 ล้านบาท จากการที่บริษัทดังกล่าวชักชวนประชาชนให้ลงทุนในสินค้าผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่เป็นเครือข่าย
ไม่ห้าว ไม่แตะ 'ของร้อน' ‘นายใหญ่’เน้นประคอง‘ลูกสาว’
สถานการณ์ของ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ช่วงนี้ค่อนข้าง ‘นิ่ง’ ‘นิ่ง’ ที่ไม่มีม็อบทางการเมืองขนาดใหญ่มากดดัน ตลอดจนผลงานที่ยัง ‘แน่นิ่ง’
ดุลอำนาจใหม่"ป.ป.ช." ในคอนโทรล 167 สว.สีน้ำเงิน
วันอังคารที่ 29 ต.ค.นี้ จะมีการประชุมวุฒิสภานัดสุดท้าย ก่อนปิดสมัยประชุม 30 ต.ค.
เฝ้าระวังพื้นที่3จ.ชายแดนใต้ หลังรัฐไทยทำคดีตากใบ หมดอายุความ จำเลยลอยนวล
หลัง คดีตากใบ หมดอายุความไปเมื่อเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงต่อสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา-ปัตตานี-นราธิวาส
พรรคร่วมยกการ์ดสูง นิรโทษ112 ระแวงพท.-ปชน.ร่วมมือเฉพาะกิจ
จบไปแล้วกับ รายงานศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ที่มี “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กมธ. ภายหลังสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาฯ ติดขัดไม่ได้ลงมติ เนื่องจาก “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ชิ่งปิดประชุมไปเสียก่อน
นับถอยหลังคดีตากใบหมดอายุความ รัฐล้มเหลว จำเลยลอยนวล
นับถอยหลังจากวันพฤหัสบดีที่ 24 ต.ค. ก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “คดีสลายการชุมนุมตากใบ” ซึ่งเกิดเหตุเมื่อ 25 ต.ค.2547 ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะ "หมดอายุความ" แล้วในเวลาเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 25 ต.ค.นี้