พรรคร่วมรัฐบาลขอเขย่า ไม่ตกเป็น'หมูในอวย'พท.

 

“ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเจอมรสุมรอบด้าน พรรคร่วมรัฐบาลจึงไม่ยอมถูกขี่เพียงฝ่ายเดียว ในฐานะนั่งร้านที่รับผลกระทบไปด้วย อะไรที่เป็นโอกาส อะไรที่ต่อรอง สร้างแต้มทางการเมืองได้ พรรคสีแดงจะต้องประนีประนอม มิใช่จ้องกินรวบแต่ฝ่ายเดียว”

แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ จะยอมผ่านเรือธงของพรรคเพื่อไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน   

ผ่านชั้นรับหลักการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งงบดังกล่าวถือป็นงบประมาณส่วนหนึ่งจากโครงการทั้งหมด 4.5 แสนล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณปี 67 ที่มีผลบังคับใช้แล้วจำนวน 4.3 หมื่นล้านบาท และงบประมาณปี 2568 จำนวน 2.8 แสนล้านบาท ที่อยู่ระหว่างสภาพิจารณาร่างงบประมาณปี 68 เพื่อเตรียมเสนอในวาระสองและสาม จำนวน 1.5 แสนล้านบาท และการบริหารจัดการทางการคลัง จำนวน 1.3 แสนล้านบาท

ท่ามกลางเสียงทักท้วงจากฝ่ายค้าน หน่วยงานต่างๆ นักเศรษฐศาสตร์ ว่าสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 มาตรา 20 (1) และมาตรา 21 เพราะงบประมาณในปี 67 ไม่สามารถไปใช้ในปีงบประมาณ 68 เพื่อแจกเงินในไตรมาส 4 ได้ และแจกเงินไม่ใช่งบการลงทุน และกฎหมายกำหนดไว้ต้องมีงบลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20   

ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ นายทุนใหญ่ เพราะมีการกีดกันร้านค้ารายย่อยที่ไม่อยู่ในระบบภาษีแลกเป็นเงินสดได้ 

แต่กลับเปิดช่องให้ร้านสะดวกซื้อของ เจ้าสัว เข้าถึงประโยชน์ท้ายสุดได้มากกว่า อาจไม่สร้างพายุหมุน และไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างที่พรรคเพื่อไทยอธิบาย แถม “ยังเป็นนโยบายกลับไปกลับมา” ไร้ความน่าเชือถือ

ที่สำคัญสุดโครงการเรือธงของพรรคเพื่อไทยยังส่งผลโดยตรงให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่มีงบประมาณมาใช้ผลักดันนโยบายของตัวเองตามที่หาเสียงจากประชาชนด้วยใช่หรือไม่  

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ว่า วันนี้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 กำลังพิจารณาอยู่หรือว่าจะใช้เสียงข้างมากใน กมธ.ไปตัดงบมากองไว้ให้เยอะที่สุด ตัดจากกระทรวงโน้นกระทรวงนี้ ของพรรคร่วมโน้นพรรคร่วมนี้ แล้วใช้มติ ครม.ใส่ไปในงบกลางเพื่อเอาไปทำดิจิทัลวอลเล็ต

“แล้วพรรคร่วมรัฐบาลว่ายังไง จะนั่งเป็นตัวการ์ตูนอยู่เหรอ แล้วท่านจะบรรลุนโยบายพรรคการเมืองของท่านเฉพาะที่ไปสัญญาประชาชนไว้ ทำได้ไหม ในเมื่อเอาไปให้พรรคเดียวเขาทำหมดแล้ว” อดีตหัวหน้าพรรค ปชป.กล่าว

แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะรับทราบเสียงทักท้วงดังกล่าวเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากเป็นรัฐบาลเดียวกัน จึงยึดหลักต้องสนับสนุนโครงการซึ่งกันและกัน ควบคู่รักษามารยาททางการเมือง เพื่อรักษาเสถียรภาพให้รัฐบาลชุดนี้อยู่ยาวนานที่สุด ควบคู่กับต้องแบกรับกระแสติดลบกับพรรคเพื่อไทยไปด้วย ที่ความน่าเชื่อถือไหลลงไปติดลบ  

หลังอนาคตของ เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ก็อยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็นละเมิดจริยธรรมและรัฐธรรมนูญ ปมตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี   

รวมถึงกรณีปล่อยให้นักโทษเทวดาทำลายกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างย่อยยับ, นโยบายต่างๆ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ตลาดหุ้นกลายเป็นสีแดงเต็มกระดาน มาตรการกระตุ้นที่ออกมา โดยเฉพาะสนับสนุนอสังหาริมทรัพย์ให้คนขายบ้าน ขายคอนโดฯ เป็นต้น ฯลฯ ทั้งนี้ หากมีปัจจัยภายนอกแทรกขยี้จิตใจประชาชนเข้ามาซ้ำเติม รัฐบาลก็อาจไปทุกเมื่อ   

ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเจอมรสุมรอบด้าน พรรคร่วมรัฐบาลจึงไม่ยอมถูกขี่เพียงฝ่ายเดียว ในฐานะนั่งร้านที่รับผลกระทบไปด้วย อะไรที่เป็นโอกาส อะไรที่ต่อรอง สร้างแต้มทางการเมืองได้ พรรคสีแดงจะต้องประนีประนอม มิใช่จ้องกินรวบแต่ฝ่ายเดียว

อย่างเช่นเสียงสะท้อนผ่านเวทีสภาผู้แทนฯ เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา จากแม้แต่คนพรรคเดียวกันอย่าง “ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย “ทินพล ศรีธเรศ” สส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย ยังออกมาส่งเสียงไม่เห็นด้วยกับโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เช่นเดียวกับ “เกรียง กัลป์ตินันท์” รมช.มหาดไทย ก็เคยแสดงความไม่เห็นด้วยก่อนหน้านี้ระหว่างประชุม ครม. หลังรับทราบเสียงจากชาวนา

“ถ้ารัฐบาลจริงใจต่อเกษตรกร ขอให้ยกเลิกโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง แต่โครงการเยียวยาชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ขอให้คงไว้ตามเดิม” นายฉลาด สส.จากพรรคเพื่อไทย กล่าว 

ต่อด้วยพรรคร่วมรัฐบาล “กรวีร์ ปริศนานันทกุล” สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย “สนอง เทพอักษรณรงค์” สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย “วินัย ภัทรประสิทธิ์” สส.พิจิตร พรรคภูมิใจไทย ประสานเสียงในทิศทางเดียวกันว่า ประชาชนอยากได้ไร่ละ 1 พัน ค้านโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ตามแนวคิดของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

“พี่น้องชาวนาฝากให้ผมมาพูดว่าอยากให้รัฐบาลได้ทบทวน และถ้าเป็นไปได้ พี่น้องเกษตรกรอยากได้การช่วยเหลือแบบไร่ละพันเหมือนเดิมที่ผ่านมา เอาปุ๋ยคนละครึ่งคืนไป เอาไร่ละพันกลับมา” สส.พรรคภูมิใจไทยกล่าว 

ล่าสุด คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต ที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน ยอมล้มโครงการปุ๋ยคนละครึ่งหลังเจอเสียงต้านอย่างหนัก เตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายกฯ เป็นประธาน และเสนอ ครม.ตามขั้นตอนต่อไป

นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถือโอกาสส่งสัญญาณเขย่า หลังจากสนับสนุนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เรือธงของพรรคเพื่อไทยไปแล้ว

ในทางกลับกันก็ควรสนับสนุนนโยบายกัญชา เรือธงเดิมของพรรคภูมิใจไทยคืนบ้าง หลังเรื่องนี้ถูกบรรจุในนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาจากกรณีกระทรวงสาธารณสุข นำโดย สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เดินเครื่องเต็มสูบ เตรียมนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด    

อนุทินได้แจ้งไปที่เศรษฐาว่า “พรรคภูมิใจไทยไม่สบายใจหากนำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติด

“ผมชี้แจงต่อนายกฯ และท่านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ว่าพรรคภูมิใจไทยไม่สบายใจตรงไหนบ้าง ยังมีข้อมูลและการศึกษาอีกเยอะ ก่อนจะตัดสินใจนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด”

พร้อมย้ำด้วยว่า ในฐานะ รมว.มหาดไทย ต้องเข้าไปลงมติในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ขอสงวนสิทธิด้วยการโหวตไม่เห็นด้วย   

ประเมินกันว่าสาเหตุที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล้าออกมาส่งสัญญาณดังกล่าว เป็นเพราะหุ้นทางการเมืองของตัวเองและพรรคสูงขึ้น ไม่เหมือนตอนจัดตั้งรัฐบาลที่มีเพียง 71 เสียงเท่านั้น

โดยเฉพาะสถานะของ อนุทิน ที่มีสัญญาณแรง เป็นนักการเมืองเนื้อหอมที่สุด เปรียบดัง หนูติดปีก   

อีกทั้งสถานะของพรรคภูมิใจไทย วิจารณ์กันว่ามี สว.สายสีน้ำเงินไม่น้อยกว่า 140 เสียง เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กหนุนหลัง จึงมีอำนาจต่อรองขึ้นทวีคูณ เพราะสภาสูงมีอำนาจพิจารณากฎหมาย ตั้งกระทู้ถาม ยื่นอภิปรายรัฐบาลแบบไม่ลงมติรัฐบาล แต่งตั้งองค์กรอิสระ และยังสามารถใช้เสียง สว.ยื่นถอดถอนนายกฯ และรัฐมนตรีต่อศาลรัฐธรรมนูญได้  

จึงไม่น่าแปลก เมื่อมีโอกาสพรรคร่วมรัฐบาลจึงแพ็กรวมกันให้แน่น สร้างอำนาจต่อรอง แสดงพลังให้เห็นว่า ไม่ใช่ หมูในอวย

อย่างเช่น พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี รมว.พลังงาน และประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (บอร์ด ป.ป.ส.) ก็มีทิศทางเรื่องกัญชาไปทางพรรคภูมิใจไทย  

“ถ้ามีเรื่องมาก็ให้ทาง ป.ป.ส.ชี้แจง เพราะคราวที่แล้วเขาให้เหตุผลให้เอากัญชาออกจากยาเสพติด แต่ทีนี้เอาเหตุผลอธิบายอย่างไร พูดไปพูดมาคนเดียวกันพูดคนละอย่างได้อย่างไร ก็ต้องอธิบายให้ได้” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว 

ยังไม่นับความหวาดระแวงจากคนใกล้ตัว แต่อยู่นอก ครม.อย่าง “ลุงในป่า” ที่มีข่าวสะพัดไปทั่ว เตรียมแผนดึง สส.งูเห่าสีส้มจำนวนมาก หากกรณียุบพรรคก้าวไกล หวังสร้างฝันให้ตัวเองได้เป็นนายกฯ โดยเข้ามาเสียบแทนที่พรรคเพื่อไทย ในช่วงที่กำลังร่อแร่จากวิกฤตศรัทธาจากประชาชน ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ 

จึงเป็นเรื่องที่ “นายใหญ่” และ “แกนนำพรรคเพื่อไทย” จะต้องประเมินว่าจะยอมถอยควบคู่ประนีประนอมผลประโยชน์ทางการเมืองกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพื่อโอกาสอยู่ครบเทอม 4 ปี.   

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

109 นักวิชาการ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ออกแถลงการณ์คัดค้าน รัฐบาลครอบงำแบงก์ชาติ

109 นักวิชาการ และกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ออกแถลงการณ์ห่วงใยธนาคารแห่งประเทศไทย ถูกแทรกแซงจากกลุ่มการเ

'ดร.ณัฏฐ์' นักกฎหมายมหาชน ฟันธงตัวแปรรัฐบาลชิงยุบสภา ยังไม่เกิด

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกระแสข่าวฐบาลมีโอกาสชิงยุบสภา จะเกิดขึ้นก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

"ดีเอสไอ" รับเผือกร้อนต่อ สางคดี "ดิไอคอน" ไม่ใช่เรื่องง่าย

คดีดิไอคอนกรุ๊ปถือเป็นหนึ่งในคดีฉ้อโกงประชาชนและฟอกเงินที่ใหญ่ระดับประเทศ โดยมีความเสียหายสูงถึงเกือบ 3,000 ล้านบาท จากการที่บริษัทดังกล่าวชักชวนประชาชนให้ลงทุนในสินค้าผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่เป็นเครือข่าย

'อนุทิน' แจงรูปคู่ 'ทนายตั้ม' บังเอิญเจอกันที่ฮ่องกง อย่าโยงมั่วเอี่ยวเว็บพนัน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ชี้แจงกรณีปรากฏภาพถ่ายกับทนายษิทรา เบี้ยบังเกิดที่ฮ่องกง ว่าเป็นภาพเก่าตั้งแต่ปีที่แล้วช่วงหลังเลือกตั้ง ซึ่งตั้งตนเดินทางไปกับครอบครัวและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ

มท.1 สั่งปลัดมท. ตั้งกก.สอบ 'ปลัดอำเภอท่าอุเทน' จำเลยคดีตากใบ โผล่ทำงานหลังคดีหมดอายุความ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เลิศสงคราม ปลัดอำเภอ

'อนุทิน' เผย 'เอกภพ สายไหมต้องรอด' ไม่ได้เป็นที่ปรึกษามท.1แล้ว หลังพ้นรัฐบาลเศรษฐา

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวถึง กรณีที่กองบัญชาตำรวจสอบสวนกลางเตรี