“แม้จะมีการพลิกขั้ว ผสมพันธุ์กันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยม แต่ไม่ได้หมายความว่าวันนี้เป็นฝ่ายเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีดีเอ็นเอเดียวกัน พื้นฐานเป็นปลาคนละน้ำ แต่ถูกจับรวมมาอยู่ในตู้เดียวกัน”
สถิตินายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นพรรคพลังประชาชนจนมาถึงปัจจุบัน กับศาลรัฐธรรมนูญ ลงเอยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ตั้งแต่นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จบไม่สวยสักคนเดียว เมื่อดูจากสถิติดังกล่าว ใครเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ย่อมไม่สบายใจและกังวลเป็นธรรมดา
ยิ่งดูท่าทีของนายเศรษฐาตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พยายามเซฟตัวเองไม่ให้แปดเปื้อน แม้กระทั่งการถูกฟ้องร้อง ของร้อนเลี่ยงได้เลี่ยง อะไรไม่ชัวร์ถอยได้ถอย ต่างจากนายกรัฐมนตรีในอดีตคนอื่นๆ ของพรรคเพื่อไทย
ตั้งแต่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐายอมเสียฟอร์ม แก้ในรายละเอียดที่ทั้งนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ องค์กรอิสระ ท้วงติง หากเป็นเมื่อสมัยก่อนพรรคเพื่อไทยไม่ยอมแน่
ดูแค่นโยบายจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีเสียงท้วงติงในลักษณะเดียวกัน แต่พรรคเพื่อไทยไม่สน ขอลุยฝ่ากระแสร้อน แต่ไม่ยอมเสียเครดิตกับนโยบายพระเอกที่ตัวเองหาเสียงไว้
หรือกรณี "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เอาผิดนายเศรษฐา กรณีแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อีกวันต่อมายังต้องไปขอถอนคำร้อง โดยมีข่าวลือว่ามีผู้ใหญ่ไปเจรจาให้ถอนคำร้องเสีย อดีตซีอีโออสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไม่ต้องการลงจากเก้าอี้ผู้นำแบบผิดธรรมชาติ
ขณะที่เรื่องของการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่มีใครคิดว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขนาดเขย่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐาได้
เพราะก่อนหน้านี้ หลายคนเชื่อว่าการที่นายเศรษฐาเสนอชื่อนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี ทั้งที่ตอนจัดตั้งรัฐบาลยอมแขวนไว้ก่อนเพื่อไม่ให้สุ่มเสี่ยง ย่อมแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่า ได้รับไฟเขียวมาแล้วว่าดำรงตำแหน่งได้
กระทั่งมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา จนถึงปฏิบัติหน้าที่ได้ หลายคนยังเชื่อว่าแรงต้านที่เกิดขึ้นต่อตัวนายพิชิตจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นแล้วจะหายไป แต่ข้อเท็จจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น
คุณสมบัติของนายพิชิตยังถูกตั้งคำถามจากกรณีบาดแผลเรื่องถุงขนมในอดีต ลามไปถึงกลุ่ม 40 สว. ซุ่มไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ
ในตอนแรกผู้คนยังมองว่า การยื่นของกลุ่ม 40 สว. เป็นเพียงการกระทำของกลุ่มอนุรักษนิยมเก่าที่ยังอารมณ์ค้าง ละความเกลียดชังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ลงเท่านั้น
แต่หนังกลับเป็นคนละม้วน เพราะคำร้องของกลุ่ม 40 สว. ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่คุณสมบัติของนายพิชิตคนเดียว แต่ร้องนายเศรษฐา ในฐานะนายกฯ ที่เป็นผู้เสนอแต่งตั้งนายพิชิต เป็นตัวการด้วย
สัญญาณความไม่แน่นอนยิ่งเกิดขึ้น เมื่อบรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลต่างพากันเช็กสัญญาณกับทางศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเรื่องนี้จะลามไปถึงตัวนายเศรษฐา ในฐานะนายกฯ หรือไม่
ในขณะเดียวกันยังมีความพยายามจากรัฐมนตรีในรัฐบาลกันเอง ที่ร่วมกันกดดันนายพิชิตให้ถอนสมอเรือ ลาออกจากรัฐมนตรี เพื่อเซฟตัวนายกฯ เอาไว้
และมีกระแสข่าวลือออกมาก่อนวันที่นายพิชิตจะลาออกว่า อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่มีความสนิทกับนายเศรษฐา ส่งสัญญาณให้นายพิชิตพลีชีพ เพื่อไม่ให้เรื่องมันเลยเถิดไปมากกว่านี้ จนสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของรัฐบาล
ปฏิกิริยาเหล่านี้ทำให้เรื่องที่ 40 สว. ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ มีอะไรมากกว่าแค่ตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต แต่ไปไกลถึงเก้าอี้นายกฯ ของนายเศรษฐา
และไม่ได้เป็นการยื่นเพียงเพราะเรื่องของคนอารมณ์ค้างอย่างกลุ่ม 40 สว.เท่านั้น แต่มีนัยทางการเมืองที่มากกว่านั้น
บางฝ่ายมองว่า นี่เป็นปฏิบัติการสะกิดแรงๆ ใส่นายทักษิณจากกลุ่มอำนาจเก่า เพื่อต้องการสั่งสอนและป้องปรามไม่ให้ย่ามใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ตั้งแต่นายทักษิณออกจากชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ค่อนข้างเดินไว เดินแรง ตะลอนทัวร์ไปเหนือใต้ออกตก ออกแอ็กชันประหนึ่งเป็น ซูเปอร์นายกฯ ทั้งที่ยังไม่พ้นช่วงการพักโทษ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงเรื่องการบริหารภายในรัฐบาล ที่มีการกระชับอำนาจทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เว้นแม้แต่การล้ำแดนไปในเขตของพรรคร่วมรัฐบาล
หรือแม้กระทั่งการกล้าผลักดันนายพิชิตเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่มีประวัติไม่ค่อยดีเรื่องพฤติกรรมในอดีต จนดูเหมือนท้าทาย ไม่ไยดีความรู้สึกของสังคม หรือจะสร้างความหมั่นไส้ให้กับศัตรูในอดีต
ท่าทีของนายทักษิณเริ่มจะคล้ายกับคนคนเดียวกันเมื่อตอนมีอำนาจและก่อนหนีออกจากประเทศ ฉะนั้นจึงต้องสะกิดใส่แรงๆ ไม่ให้สำคัญตัว
ขณะที่มติศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องเรื่องของนายเศรษฐาเอาไว้ โดยไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ยังน่าสนใจ เพราะก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเองประเมินกันว่า เมื่อนายพิชิตลาออก เรื่องน่าจะจบเหมือนกับกรณีนายนิพนธ์ บุญญามณี ตัดสินใจลาออกจาก รมช.มหาดไทย ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และให้จำหน่ายคดีออก
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น ศาลยกคำร้องนายพิชิต แต่รับเรื่องของนายเศรษฐาไว้ โดยให้เวลาชี้แจง 15 วัน
แม้จะเหมือนมีสัญญาณบวกตรงที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่หากดูมติเสียงข้างมากกับเสียงข้างน้อยแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าอุ่นใจสักเท่าไหร่
มติ 5 ต่อ 4 ชนะกันแค่ 1 เสียง เป็นเรื่องที่ฉิวเฉียดมาก แม้มันจะไม่สามารถชี้วัดอะไรได้ว่า เมื่อถึงเวลาวินิจฉัยในเนื้อหาแล้วมันจะใกล้เคียงกันแบบนี้เสมอไปก็ตาม
แต่มันก็ทำให้เกิดความไม่มั่นใจได้ โดยเฉพาะตัวนายเศรษฐาเอง เพราะยังมีข่าวเสี้ยมเรื่องการเปลี่ยนตัวนายกฯ จากนายเศรษฐา มาเป็น "อุ๊งอิ๊ง" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อยู่เป็นระยะๆ
ที่สำคัญยากจะคาดเดาว่า กลุ่มอำนาจเก่าจะเล่นแรงขนาดไหน
อย่างไรก็ดี กรณีนี้มันสะท้อนให้เห็นเหมือนกันว่า แม้จะมีการพลิกขั้ว ผสมพันธุ์กันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยม แต่ไม่ได้หมายความว่าวันนี้เป็นฝ่ายเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีดีเอ็นเอเดียวกัน พื้นฐานเป็นปลาคนละน้ำ แต่ถูกจับรวมมาอยู่ในตู้เดียวกัน ต้องร่วมกันทำงานในสภาวะที่ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก
ฝ่ายหนึ่งต้องการกลับมามีอำนาจ อีกฝ่ายต้องการสกัดกั้นการเข้าสู่อำนาจของพรรคการเมืองหัวก้าวหน้า ต่างฝ่ายต่างดีลผลประโยชน์และความต้องการลงตัว มันจึงเกิดเป็นรัฐบาลนายเศรษฐา
ขณะที่วันนี้ฝ่ายหนึ่งกำลังย่ามใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือ ต้องให้อิสระจนเต็มที่ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องการกระตุกให้เห็นว่าไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก แม้วันนี้จะอ่อนแรง แต่ยังมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ให้คุณให้โทษได้อยู่
เหตุการณ์นี้คงไปไม่ถึงขั้นล้มรัฐบาล ยังเป็นแค่การแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็น เพื่อป้องปรามความเหิมเกริมของใครบางคนเท่านั้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
'วิสุทธิ์' เผยฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย ร่างคําฟ้องเช็กบิล 'ธีรยุทธ' แล้ว
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการฟ้องร้องผู้ยื่นคําร้องกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครอง ว่า ตนได้คุยกับนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
'จตุพร' ปลอบและปลุก อดทนเฝ้าคอยยังมีอีกหลายยก!
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ยอมรับว่า ประเมินสถานการณ์ศาล รธน.รับคำร้องคลาดเคลื่อน แม้ถูกเย้ยหยันหน้าแตก แต่ถัดจากนี้ไปขอให้ประชาชนอดทนเฝ้ารอสถานการณ์
อดีตสว.วันชัย สะใจ! โพสต์สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ
นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ....
'นันทเดช' ลั่น! อย่ากลัว 'ทักษิณ' จะใหญ่โตไปกว่านี้
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ อย่ากลั
ที่ปรึกษาของนายกฯ โชว์กึ๋นฟาด 'พลังขวาสุด' จับวาระชาตินิยมเปิดทางอำนาจนอกระบบ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง 6 ข้อกล่าวหาพรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครอง หุ้นไทยพุ่ง