“ยิ่งไล่ผมยิ่งสู้-3 ป.ไม่มีใครทำลายผมได้”
จากหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองตลอดปี 2564 ปีที่ผ่านมา ทั้งสถานการณ์ทางการเมือง การชุมนุม การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาท้าทายความสามารถและไหวพริบของผู้นำประเทศอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จนเกิดเป็นวาทะเด็ดของนายกรัฐมนตรีในหลายๆ เหตุการณ์ที่น่าสนใจดังนี้
“ยิ่งไล่ผมยิ่งสู้”
วันที่ 14 มิ.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวถึงการใช้จ่ายงบประมาณในด้านต่างๆ ก่อนถามขึ้นในที่ประชุมช่วงหนึ่งว่า ในนี้มีใครไม่เชื่อมั่นตนหรือไม่ขอให้ยกมือ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครยกมือ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า
“ก็ไม่มี ผมบังคับไม่ได้ ผมเคารพท่าน 5-7 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยยุ่งกับพวกท่าน ผมเชื่อมั่นในวุฒิภาวะ ผมแก้ปัญหาทุกเรื่องที่พะรุงพะรัง ผมพร้อมสู้ ทุกวันนี้มีคนไล่ผม แต่จะบอกว่ายิ่งไล่ผมยิ่งสู้”
“3 ป.ไม่มีใครมาทำลายผมได้”
วันที่ 3 ก.ย. ที่อาคารรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์เดินทางเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเตรียมเอกสารกระดาษเอ 4 เขียนด้วยลายมือตัวเอง พร้อมกล่าวกับสื่อมวลชนถึงกระแสข่าวความขัดแย้งของ 3 ป. ว่า
“ในเรื่องเหล่านี้อยากจะกราบเรียนทุกคน และสื่อก็เป็นคนตั้งเองใช่หรือไม่ 3 ป. ไม่มีใครมาทำลายผมได้หรอก ทุกคนอาจจะไม่รู้ ทุกคนอาจจะไม่รักเพื่อนรักคนอื่นเหมือนผมรักกัน 3 คน ผมร่วมเป็นร่วมตายกันมา ชายแดนผมก็อยู่ ท่ามกลางสนามรบผมก็เคยอยู่ด้วยกัน และท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของผมมาตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมมารับราชการอยู่บ้านเดียวกัน กินนอนด้วยกัน สั่งสอนกัน ฝึกอบรมด้วยกัน โตขึ้นมาก็ยังคบยังเคารพกันอยู่ ทุกอย่างผมเป็นวันนี้ได้เพราะพี่ทั้งสองคนสั่งสอนผมมา และผมจำได้ว่าพี่ทั้งสองคนสอนมาให้ผมทุจริตโกง ม่มี”
“มันอยู่ที่ผม ผมทำของผม”
วันที่ 9 ก.ย. ที่โรงพยาบาลปิยะเวท พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามสื่อมวลชนภายหลังราชกิจจานุเบกษาประกาศ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี หลังมีปัญหาสืบเนื่องมาจากผลพวงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่มีการจ้องล้มนายกรัฐมนตรี โดยผู้สื่อข่าวถามว่า ร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล มาลาออกกับนายกฯ ก่อนแล้วใช่หรือไม่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า
"ผมไม่ได้แจ้งใครทั้งสิ้น มันอยู่ที่ผม ผมทำของผม"
“ผมว่าใจร้ายกับประเทศเกินไป”
วันที่ 8 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังได้ นายนิโรธ สุนทรเลขา เป็นประธานวิปรัฐบาลคนใหม่ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าสบายใจขึ้นบ้างหรือไม่กับเรื่องในสภา โดยพล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า
“ถ้าถามว่าสบายใจหรือไม่ อย่าลืมว่าผมควบคุมอะไรในสภาไม่ได้ ผมควบคุมเองไม่ได้และไม่ได้เป็นคนคุม บอกมาตลอดว่าเป็นเรื่องของวิป ทางวิปฝ่ายรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เรื่องไหนสำคัญ เรื่องไหนจำเป็นต้องออก อันไหนเป็นกฎหมายที่จะเพิ่มขีดความสามารถทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม สิ่งแวดล้อมหรือการศึกษา รวมทั้งการปฏิรูปต่างๆ เหล่านี้ มันต้องออก ไม่ใช่จะบอกว่าไม่ออกเพื่อให้รัฐบาลล้ม ผมว่าใจร้ายเกินไป ใจร้ายกับประเทศเกินไป”
“ผมไม่ได้ดีกว่าใคร ไม่ได้เก่งกว่าใคร”
วันที่ 21 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานในพิธีปิดงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 Connect the Dots DESIGN THE FUTURE รวมพลัง สร้างสรรค์ อนาคต และได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “จับมือ รวมใจ พาไทยรอด” โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า
"ผมไม่ได้ดีกว่าใคร ไม่ได้เก่งกว่าใคร แต่ผมทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน เพราะเมื่อถึงเวลาที่ผิดมาใครจะรับผิดชอบให้ผม ผมก็จะทำให้ดีที่สุด ส่วนการปล่อยกู้ธนาคาร หากผมสั่งเขาจะบอกว่าเป็นเผด็จการ แค่สั่งทหารปลูกผักชี ก็หาว่าเผด็จการ ซึ่งจริงๆ ทหารปลูกในค่ายทหารอยู่แล้ว อย่าไปเชื่อในคำบิดเบือน เรื่องใช้รถทหารก็เช่นกัน ไม่ได้จะไปแข่งกับใคร แต่ถ้าเดือดร้อนขึ้นมา ไม่มีรถวิ่งก็แบกกระสอบเดิน ที่พูดไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น"
“คนชั่วอย่างไรก็ชั่วอยู่เหมือนเดิม”
วันที่ 26 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีรัฐบาลไต้หวันจับกุมเฮโรอีนล็อตใหญ่ที่พบว่าถูกส่งเข้ามาพร้อมไม้แปรรูปจากประเทศไทย โดย พล.อ.ประยุทธ์ระบุช่วงหนึ่งว่า
“วันนี้งานหนักอยู่ที่กระทรวงกลาโหม กองกำลังป้องกันชายแดนเหนื่อยมาก ต้องดูในหลายๆ เรื่อง ทั้งการลักลอบสินค้าสินค้าเกษตร การลักลอบข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย น้ำมันเถื่อน หรือการค้ามนุษย์ เจ้าหน้าที่พยายามดำเนินการอย่างเร็วที่สุดและทำได้มากกว่าที่ผ่านมา ขณะเดียวกันฝ่ายคนชั่วก็มีวิธีการใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อย คนเคยชั่วอย่างไรก็ชั่วอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกัน” ซึ่งการตอบคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์บางคำถูกตีความว่าเป็นการพูดกระทบอะไรหรือไม่ ซึ่งในขณะนั้นมีเรื่องปัญหาความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐด้วย
“อยู่จนถึงเดือน มี.ค.66”
วันที่ 3 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีที่ช่วงนี้พูดถึงเรื่องการเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้กรอบของกฎหมายบ่อย เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ว่าจะอยู่ครบเทอม โดย พล.อ.ประยุทธ์ตอบกับสื่อมวลชนว่า
“ผมยังอยู่ในการเป็นรัฐบาลมิใช่หรือ ตามกรอบกฎหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะอยู่จนถึงเดือน มี.ค.66 กรอบกฎหมายเขาเขียนไว้อย่างนั้นไม่ใช่หรือ ผมจะอยู่ไปจนถึงปี 67 ได้หรือไม่ล่ะ เมื่อไม่ได้ก็อยู่ในตำแหน่งได้ถึงปี 66 ถ้าบ้านเมืองสงบสุขเราก็อยู่ให้จนครบวาระไปเท่านั้นเอง อย่าไปมีอุบัติเหตุทางการเมืองอะไรขึ้นมาให้มันเกิดความเสียหายอะไร บ้านเมืองจะได้ไปได้ ผมก็ทำอะไรหลายๆ อย่างไว้แล้ว ไม่ใช่ทำเพื่อวันนี้หรือทำเพื่อคะแนนเสียงของผมด้วยซ้ำ และทำให้กับประชาชนและประเทศชาติ มีแผนงานในอนาคตไว้เยอะแยะไปหมด ลองไปเปรียบเทียบดูแล้วกัน”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ก้าวต่อไป ‘รทสช.’ ปี 2568 ติดสปีดผลงาน-โกยคะแนน
ต้องฝ่าฟันมรสุมกันระลอกใหญ่ส่งท้ายปี 2567 สำหรับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จากพรรคน้องใหม่จนถึงปัจจุบันสู่ปีที่ 3 แล้ว ภายใต้การนำของ “พี่ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค ซึ่งพรรคได้โควตาร่วมทัพรัฐบาลเพื่อไทย และได้กระทรวงที่หมายปองมาครอบครองสมใจ
การเมืองไทยปี 68 เข้มข้น-ขับเคี่ยว-ร้อนแรง ซักฟอกมี.ค.-ปรับครม.กลางปี
การเมืองไทยไม่ว่าปีไหนๆ ก็มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นได้ตลอด บางเรื่องเกิดขึ้นตามปฏิทินการเมือง แต่บางประเด็นเป็นความร้อนแรงที่แทรกขึ้นมาแบบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
'ปชน.'ถอย'ม.112'แลกอุดมการณ์ เพิ่มคะแนนนิยม'เท้ง'เฉือน'อิ๊งค์'
ผลสำรวจความเห็นของประชาชน 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หัวข้อ ความนิยมทางการเมือง ในไตรมาส 4 ปลายปี 2567 ให้ผลที่น่าสนใจ เมื่อ 'เท้ง’- นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นนักการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดอันดับ 1
'แพทองธาร' พร้อมสุภาพบุรุษหมายเลข 1 ทำบุญตักบาตรทำเนียบฯ 2 ม.ค.นี้
นายกฯ เป็นประธานทำบุญตักบาตร เทศกาลปีใหม่ที่ทำเนียบรัฐบาลเช้าวันพรุ่งนี้
ปี67‘อดีตสว.’ขยับสะเทือนถึงรัฐบาล ถอดถอน‘เศรษฐา’ที่มาของหลายเรื่อง
การเมืองรอบปี 2567 เหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดต้องยกให้กับศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ “แพทองธาร ชินวัตร” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย และทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตามมา วันนี้จึงขอบันทึกเรื่องราวนี้ไว้ ยกให้เป็นเหตุการณ์แห่งปี
‘ทักษิณ’ไม่กล้าเขี่ย‘ภท.-รทสช.’
เป็นความสัมพันธ์ที่แม้แต่คนภายนอกยังมองออกว่ากระท่อนกระแท่น สำหรับความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร