ผลการปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตราย “เรือหลวงสุโขทัย” โดยชุดปฏิบัติการร่วมของกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐ 6 วันที่ผ่านมา ได้มีการถ่ายภาพสำรวจจุดต่างๆ โดยเฉพาะรอยปริร้าวที่กราบซ้ายเรือ ห้องใต้ป้อมปืน ฝาทางเข้าช่องลำเลียงอาวุธปล่อยนำวิถี “เอสปิเด” การเก็บกู้ปืนเล็กยาว ห้องผู้การเรือ
โดย ทร.ไทย-สหรัฐ มีเป้าหมาย 5 ข้อ คือ 1.การนำป้ายเรือขึ้นมา ซึ่งสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว 2.ถ่ายรูปหลักฐานต่างๆ หลังจากชุดประดาน้ำสามารถเข้าไปสู่ภายในตัวเรือได้แล้ว 3.การทำลายขีดความสามารถระบบอาวุธตามระเบียบในการจัดซื้ออาวุธแบบ FMS 4.การค้นหาผู้สูญหายที่เหลืออีก 5 ราย และ 5.การจัดการต่อสิ่งของที่มีผลต่อสภาพแวดล้อมทางทะเล เช่น น้ำมันที่อยู่ในตัวเรือ
หากไม่มีอะไรผิดจากแผนที่ได้วางไว้ การปฏิบัติที่กำหนดไว้ 19 วัน จะสิ้นสุดในวันที่ 11 ก.พ.2567 ข้อมูลที่เก็บขึ้นมานั้นจะนำมาประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุเรืออับปางที่มี พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธาน
โดยการสอบสวนของคณะกรรมการชุดดังกล่าว จะคล้ายกับหลักการสอบสวนตามกฎนิรภัยการบิน 4M ในการหาสาเหตุว่ามาจากปัจจัยใด ได้แก่ Man error, Material error, Media error, Management error กล่าวคือ เพื่อค้นหาว่าเป็นข้อผิดพลาดจากคน อุปกรณ์ สภาพแวดล้อม ดินฟ้าอากาศ หรือการบริหารจัดการสถานการณ์
โดยจะนำข้อมูลที่ได้มานั้นมาตอบคำถามที่ยังค้างคาให้สิ้นสงสัย เพราะคำให้การจากผู้ที่อยู่บนเรือยังต้องหาข้อมูลมาสอบทานเพิ่มเติม
ที่สำคัญคือรายละเอียดข้อผิดพลาดต่างๆ จะนำไปสู่การยอมรับข้อเท็จจริงของผลที่เกิดขึ้น และใช้เป็นบทเรียนในการปรับปรุงพัฒนากองทัพเรืออย่างไร
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ผลสอบอาจจะเทไปที่สภาพดินฟ้าอากาศที่เกิดคลื่น State ที่ 6 ตามคำให้การของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น จนเกิดการตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้จะมี “ผู้รับผิดชอบ” หรือไม่?
หากย้อนกลับไปดูหลักการสอบสวนทั้ง 4 ข้อข้างต้น อาจสรุปว่า ทั้ง 4 ข้อมีผลมากน้อยต่างกันไป โดยเรียงลำดับความผิดพลาดจากคน และการตัดสินใจ ที่น่าจะเป็น 2 ปัจจัยหลัก เมื่อผนวกรวมกับเรื่องสภาพตัวเรือ และสภาพอากาศ จึงส่งผลให้เรือลำนี้อับปางลงในที่สุด
แต่เมื่อต้องนำไปสู่การทำเป็นบทเรียน จึงต้องนำทั้ง 4 ปัจจัยมาพิจารณา โดยแบ่งเป็นช่วงเวลา คือก่อนการเดินทาง ระหว่างเกิดเหตุการณ์ และหลังเหตุการณ์ เพื่อให้เห็นได้ว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นต่อกรณีอุบัติเหตุนั้นมันส่งผลเชื่อมโยงกันอย่างไร
ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น จะโยนความผิดให้สิ่งแวดล้อม-สภาพแวดล้อมทั้งหมดก็คงไม่ได้ เพราะแม้จะมีเรือล่มหลายลำ แต่ก็มีเรือที่ไม่ล่มเช่นกัน แล้วเหตุใดเรือลำอื่นที่เหลือจึงไม่ล่ม?
ชะตากรรมของคนบนเรือ และ รล.สุโขทัย จึงไม่พ้นจะอยู่ในมือของผู้บังคับการเรือ ที่สำคัญคือก่อนเรือออก “ต้นกล” ก็ไม่ขึ้นเรือไปด้วย สะท้อนวัฒนธรรมแบบหยวนๆ กันไป ทำให้เกิดความเสียหายมากกว่าที่คิด
และยังกลายเป็นคำถามว่า กระบวนการตัดสินใจในการนำเรือเครื่องยนต์เดียวแล่นกลับสัตหีบที่ต้องวิ่งตัดอ่าวไปถึง 90 ไมล์ทะเล ท่ามกลางพายุคลื่นลมขนาดนั้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงยิ่ง ในกรณีถ้าเครื่องยนต์ดับ เรือรบชั้นดีก็ไม่ต่างจาก “เศษเหล็กลอยน้ำ” เพราะน้ำจะสามารถเข้าเรือตลอดเวลา ประกอบกับเกิดร่องรอยการฉีกขาดด้วย การผนึกน้ำอาจจะทำได้ไม่สมบูรณ์ เพราะเรือหนักขึ้นและเอียง
รวมไปถึงข้อสงสัยว่า ระยะเวลาที่น้ำเข้าเรือจนกว่าจะตัดสินใจนั้นใช้เวลาเท่าไหร่ และเหตุใดจึงไม่ตัดสินใจหันหัวเรือเข้าสู่บางสะพาน ซึ่งห่างกันแค่ 20 ไมล์ทะเลเท่านั้น
นอกจากนั้นยังต้องไปดูสภาพของเรือก่อนออกไปปฏิบัติงาน มีความพร้อมในระดับไหน จะแค่พอเดินเรือได้ แต่ไม่พอรับกับสภาพทะเลหรือไม่ รวมถึงมีวงรอบการซ่อม การใช้งาน ทำให้การบริหารจัดการสมบูรณ์หรือไม่ รวมถึงอุปกรณ์ ความพร้อมต่างๆ
ขณะที่ต้องดูช่วงเวลาหลังเรือเกิดอุบัติเหตุ ทั้งขั้นตอนการเข้าไปช่วยเหลือ กู้ภัย มีลำดับขั้นและการสั่งการอย่างไร
"นักเรียนนายเรือเราสอนกันว่า ภายใต้สถานการณ์จำเป็น กระบวนการคิดแรกคือ ชีวิตกำลังพลในเรือปลอดภัย เพราะเหตุการณ์ตรงนั้นเรือจมทั้งลำ อันนี้เป็นประวัติศาสตร์ของกองทัพ ถ้าเรือล่มจากสงครามเป็นหน้าที่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง" ทหารเรือรายหนึ่งระบุ
ผลสอบที่ออกมาจึงนำไปสู่การลงโทษทั้งทางวินัยและ อาญาของผู้กระทำผิด แต่อาจกินความว่าเป็นผู้ที่ “รับผิดชอบ” ต่อเหตุการณ์ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการโฟกัสไปที่ น.ท.พิชิตชัย เถื่อนนาดี ผู้บังคับการเรือในขณะนั้น
แต่คงยากที่จะไปถึงผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นในขณะนั้น ได้แก่ พล.ร.ท.พิชัย ล้อชูสกุล อดีตผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 และ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการ ทร. พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ นั่งเป็นเสธ.ศูนย์ปฏิบัติการ ทร.ในขณะนั้น
ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่า ข้อมูลของพยานบุคคลและวัตถุพยาน จะจำกัดวงไว้ที่คนคุม “หน้างาน” หรือไม่
จนมีกระแสกดดันจากภายนอกผ่านฝ่ายการเมือง ที่อาจจะส่งผ่านจากภายใน ทร. ในการหา “คนกลาง” เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในขั้นตอนสรุปสุดท้าย หลังจากได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากชุดประดาน้ำไทย-สหรัฐในครั้งนี้ด้วย
สำหรับระยะเวลาที่ตั้งไว้ประมาณ 1 เดือนหลังจากปฏิบัติการครั้งนี้ อาจจะจบเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับ “ไทม์ไลน์” ในการแต่งตั้งโยกย้ายด้วย
เพราะศึกในการชิงเก้าอี้ 5 เสือ ทร.ปลายปีนี้คาดว่าจะดุเดือดกว่าทุกครั้ง
แต่หากผลสอบจะสะเทือนไปถึงผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น ก็อาจมีผลต่อการเลื่อนลดปลดย้าย หรืออาจนำมาเป็นประเด็นเรื่องในการขึ้นชิงเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารเรือคนต่อไปในปลายปีนี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พ่อบงการ ลูกตามสั่ง
“พ่อบงการ ลูกตามสั่ง” ผ่าน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” คงไม่เกินเลยความเป็นจริง เพราะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ มีคำบัญชาผ่านเวทีต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ก็สนองนโยบายทันที โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะขาดความน่าเชื่อถือ และยำเกรงต่อกฎหมายมิให้คนนอกเข้ามาครอบงำแต่อย่างใด”.
ทักษิณไฟสุมขอน ‘รทสช.’ เขย่าบัลลังก์ ‘พีระพัง’
“สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” มอตโตขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนถึงปัจจุบัน จากพรรคน้องใหม่ตอนนี้ทำงานมากว่า 3 ปีแล้ว โดยการนำของ “ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค กุมทัพ 36 สส.ในปัจจุบัน
“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง
ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา
“พ่อเลี้ยง”เปลี่ยนสนามรบเป็นทุน “ดับไฟใต้-สันติภาพเมียนมา”
“ฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง” นับเป็นภาพการเมืองในฝ่ายบริหารที่ “วิญญูชน” พึงประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขยับตัวและคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” วิทยากร-นักวิชาการของพรรคเพื่อไทย
47 เก้าอี้นายกฯอบจ. บ้านใหญ่ ลุ้นเข้าวิน-กินเรียบ!
คิกออฟ นับหนึ่งตั้งแต่จันทร์ที่ 23 ธ.ค.ที่เป็นวันแรกของการรับสมัครบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนายกฯ อบจ. 47 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงที่ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ 76 จังหวัด
‘แม้ว’ ไล่ทุบ- ‘ภูมิใจไทย’ ไม่หมู ‘แดง-น้ำเงิน’ ทนอยู่แบบตบจูบ
นาทีนี้ศึกฝ่ายค้าน-รัฐบาลยังไม่เดือดเท่ากับศึกรัฐบาลด้วยกันเอง แรงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการขบเหลี่ยมของพรรคอันดับ 1 และพรรคอันดับ 2