ปูพรมแดง'อุ๊งอิ๊ง'คุมการเมือง โจทย์ยากอัศวินคลื่นลูกที่ 3

“ฐานการเมืองจึงกลายเป็นมรดกชิ้นสำคัญ ที่จะปล่อยให้ใครเข้ามายึดกุม หรือตั้งหุ่นกระบอกไว้คอยชักใยไม่ได้ แต่ต้องเป็นตัวจริงจากตระกูลที่ส่งมาบริหารจัดการตามแนวทางที่เขามองไว้”

สัปดาห์หน้าทิศทางข่าวคงโฟกัสไปที่สถานการณ์หลัง ทักษิณ ชินวัตร ถูกพักโทษ ว่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องใดขึ้นบ้าง ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเขาอาจจะเก็บตัวเงียบพักใหญ่ เพื่อไม่ให้เป็นเป้าหมายการติดตาม ก่อนจะมานั่งในตำแหน่งประธานมูลนิธิไทยคม ทำงานการกุศล และให้คำปรึกษาทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ตามพระราชหัตถเลขาฯ อภัยโทษ  

แถมยังต้องเดินหน้าในภารกิจพาน้องสาวกลับบ้าน ซึ่งระหว่างนี้อยู่ในกระบวนการเช่นกัน จึงยังไม่ใช่ห้วงเวลาที่จะเดินหน้าในการเข้าไปชี้นิ้วการบริหารงานระดับนโยบาย ล่อสปอตไลต์ให้มาโฟกัสจนขยับอะไรไม่ได้

แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลังจากที่เขาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจนได้กลับประเทศไทย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ได้ถูกจำคุกในเรือนจำ เพราะใช้อาการป่วยเป็นเหตุขอเข้ารับการรักษาตามการวินิจฉัยของแพทย์ จนมาอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และถูกวิพากษ์วิจารณ์ความเป็น นักโทษเทวดา ก็ถูกสังคมจับตามองอยู่ดี

ระหว่างทางก่อนครบ 180 วัน ยังมีปรากฏการณ์แก้ไขระเบียบกรมราชทัณฑ์ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอน Home Arrest แต่กระแสสังคมไม่เป็นใจ มีขั้นตอนยุ่งยาก จึงต้องรอจนเข้าล็อกเรื่องการพักโทษในฐานะของผู้สูงอายุ จึงทำให้ต้องอยู่ที่ชั้น 14 ถึง 6 เดือน ไม่สามารถกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวอย่างที่ตั้งใจแต่ต้น

ข้อครหาในการไม่ยอมติดคุกตามคำพิพากษาคดีทุจริต โดยถูกมองว่าใช้เทคนิคและเครือข่ายในการเอื้ออำนวย กลายเป็นหัวเชื้อให้กลุ่มมวลชนที่เคยต้านระบอบทักษิณเริ่มออกมาเคลื่อนไหว ตั้งคำถามถึงความเป็นอภิสิทธิ์ชน แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก

และแม้ “ป.ป.ช.” จะรับคำร้องยื่นให้ไต่สวนกรมราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ กับพวกและฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้อง มีพฤติการณ์หรือการกระทำที่ผิดประมวลจริยธรรมของข้าราชการหรือนักการเมือง และกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อเอื้อประโยชน์ แต่ก็ดูเหมือนแค่ลดกระแส และกว่าจะสอบสวนเสร็จคงต้องใช้เวลาอีกนาน 

ขณะที่ “พรรคก้าวไกล” เพิ่งตื่นมาตั้งคำถามเรื่องกระบวนการก่อนพักโทษให้กับ “ทักษิณ” เหมือนเล่นปาหี่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ออกอาการ ไม่กล้าแตะ จนมีการตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของพรรคตัวจริงอย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับ "ทักษิณ” ที่บินไปพบกับก่อนเลือกตั้ง

ถึงเวลานี้แน่ชัดแล้วว่า ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เลือกแนวทางที่ไม่แตะต้องสถาบัน ไม่มีจุดร่วมเรื่องนี้กับก้าวไกลอีกต่อไป กระแสข่าวดีลนิรโทษกรรม ม.112 จึงยากที่จะเกิดขึ้น ยิ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากกรณีขบวนเสด็จฯ การแสดงออกของสมาชิกพรรคก้าวไกลยิ่งทำให้ปลุกมวลชนออกมาแสดงพลังไม่เอาฝ่ายที่วิพากษ์เจ้าอย่างชัดเจน การถอยให้ห่างจากประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นสิ่งที่ดีสุดในขณะนี้

และก็เชื่อว่า “ทักษิณ” จะไม่แสดงตัวในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเปิดเผย แต่ก็ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ในการเข้าไปเป็น “เงา” กำหนดทิศทางการบริหารงานของรัฐบาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายนโยบายถูกแขวนไว้เหมือนรอการตัดสินใจ โดยเฉพาะโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่กรรมการชุดใหญ่มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. อีก 1 เดือน เหมือนเป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ยื้อเวลารอการเคาะจาก "ทักษิณ” ซึ่งว่ากันว่าเป็นผู้ให้ไอเดียกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

จึงไม่แปลกที่จะมีการมองว่า ประเทศไทยต่อจากนี้จะมีนายกฯ 2 คนทับซ้อนกัน ส่งผลให้คนของเพื่อไทย และรัฐมนตรีของพรรค ฟังแต่การส่งสัญญาณจาก "ทักษิณ” เป็นหลัก ถนนทุกสายจะวิ่งไปสู่ผู้มีอำนาจตัวจริง ไม่มีใครเห็นหัว “นายกฯ” ตามกฎหมายว่าจะสั่งการอะไรบ้าง

สุ่มเสี่ยงเกิดความสับสนในการบริหารงาน เพราะต่างรอสัญญาณที่ไม่ได้มาจากทำเนียบรัฐบาลแต่อย่างใด

ต้องยอมรับว่าการขึ้นมาเป็นนายกฯ ของเศรษฐา ทวีสิน นั้นก็เป็นการให้ไฟเขียวของคนในตระกูล “ชินวัตร” ที่เห็นว่า “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอีกคน ยังต้อง บ่มให้สุก รอให้มีประสบการณ์และอาวุโสมากกว่านี้ และช่วงนั้นกระแสพรรคก้าวไกลมาแรง การส่ง “อุ๊งอิ๊ง” ลงสนามเลยอาจถูกแรงปะทะจากแฟนคลับที่กำลังคลั่งไคล้

ส้มจึงหล่นที่ “อานิด” ซึ่งได้รับการผลักดันให้เข้ามาขัดตาทัพ กระชับด้วยภาพลักษณ์ในการเป็นผู้นำฟื้นเศรษฐกิจผลงานในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ แบ่งภาคกับการเมืองเรื่องการฟอร์มรัฐบาลผ่าน “ดีล” นอกประเทศ ด้วยการแลกเปลี่ยนโอกาสส่วนตัวกับโอกาสทางการเมือง เพื่อปิดแนวทางเซาะกร่อน-บ่อนทำลายสถาบัน ตามการวินิจฉัยของศาล รธน.

ที่ผ่านมา ด้วยบุญเก่าและความสัมพันธ์ในทุกองคาพยพ “รัฐบาลเศรษฐา” มีผลงานอยู่ในระดับ “ทรงๆ” ไม่ได้โดดเด่นเหมือนที่วาดฝันให้กับประชาชนในช่วงเลือกตั้ง ถึงขนาดที่ “ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล ทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล เย้ยในสภา ในทำนองว่า “ไหนคุยว่าเก่งเศรษฐกิจ

ในขณะเดียวกันยังถูกมรสุมภายในจากกระแสข่าวว่าถูกบ่นเรื่อง ใจไม่ถึง เงื้อค้างในปฏิบัติการคืนอิสระให้ “ทักษิณ” ปล่อยให้ต้องนอนรออยู่ที่ชั้น 14 ถึง 6 เดือน

จนทำให้มองว่าเก้าอี้ “เศรษฐา” อาจจะไม่มั่นคง เพราะไม่เข้าตา “นายใหญ่” ที่อยากปรับทัพสร้าง “ดรีมทีม” เดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากใน ครม.เศรษฐา 1 ได้ตอบแทนแจกเก้าอี้คนทำงานและผู้มีพระคุณเรียบร้อยไปแล้ว

อาจถึงจังหวะเวลาในการวางคนที่ตัวเองเล็งไว้ใน ครม.ชุดใหม่ เพียงแต่ต้องฝ่าด่านครอบครัวว่าจะมีคนขวางเปลี่ยนตัวนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐาหรือไม่

เพียงแต่ถ้าเปลี่ยนตัวตอนนี้ก็มีความกังวลว่า “อุ๊งอิ๊ง” มีความพร้อมในการที่จะนั่งเป็นนายกฯ ในตอนนี้ได้หรือ?

จากผลงานการนั่งเป็นประธานกรรมกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี "หมอเลี้ยบ” สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นั่งเคียงข้าง ยังเรียกว่าไม่เข้าตา

ถูกท้าทายในการตอบเรื่องคำนิยามที่แวดวงวิชาการยังตีความและถกเถียงยังไม่จบสิ้น แถมการทุ่มงบ 5 พันล้านในปี 2567 เลยไปถึงการตั้งงบอีก 2568 ที่คาดว่าอาจจะมีการตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมารองรับเหมือนโมเดลเกาหลีใต้ มุ่งเดินหน้าในการใช้ยุทธศาสตร์หาเงินเข้าประเทศ

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายถ้า “อุ๊งอิ๊ง” ต้องบินเดี่ยว โดยไม่มีพี่เลี้ยงที่เป็น “ลูกจ้าง” ของบิดาเข้ามาประกบ

ยังไม่นับสิ่งที่คาดไม่ถึงอันเกิดจากเหตุไม่พึงประสงค์ จากกรณีอนุกรรมการฯ ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติลาออกยกชุด จนเมาธ์กันสนุกปากเรื่องปมเหตุ แต่กรรมการแต่ละคนนั้นเป็นที่รู้กันว่ามีผู้สนับสนุนที่ “ไม่ธรรมดา”

จนมีข่าวว่า จากเรื่องดังกล่าวทำให้ต้องคิดหนัก และมีการจัดทัพปรับพีเรียดการรับมรดกทางการเมืองของ “อุ๊งอิ๊ง” ออกไปก่อน

โดยมีข่าวเรื่องหัวหน้าพรรคร่วมที่มีรายชื่อเป็นแคนดิเดตอีก 2 คนขยับปรับท่าทีหากมีการเปลี่ยนนายกฯ ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนไปอยู่แดนไกลต้องเข้ามาจัดการหลายสิ่งหลายอย่างภายใต้ข้อมูลที่จำกัด

และเป็นโจทย์ใหญ่ในการวาง “ไทม์เฟรม” ทางการเมืองให้ลงตัว ด้วยปัจจัยและเงื่อนไขที่แตกต่างจากเมื่อก่อน ที่จะชี้นิ้วสั่งการ หรือส่งใครลงไปนั่งตรงไหนก็ได้

เมื่อสมการอำนาจหลังจาก “ดีลลับ” เปลี่ยนไป การจะตัดสินใจสิ่งใดจึงต้องคิดแบบรอบด้าน ไม่ออกหน้า “เลยธง” พูดได้ทุกเรื่องเหมือนที่ผ่านมา

“ทักษิณ” ในวันนี้แม้จะเป็นคนเดิม แต่เชื่อว่า “ไม่ได้ห้าว” เหมือนเมื่อก่อน เพราะเป้าหมายคือครอบครัว ธุรกิจ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งปัจจัยหลังสุดจะเป็นตัวทำให้ “ชินวัตร” ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงหรือไม่

พร้อมกับใช้บทเรียนที่ผ่านมาปรับวิธีการ แบ่งสรรผลประโยชน์ให้กับผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียอย่างเหมาะสม

ฐานการเมืองจึงกลายเป็นมรดกชิ้นสำคัญ ที่จะปล่อยให้ใครเข้ามายึดกุม หรือตั้งหุ่นกระบอกไว้คอยชักใยไม่ได้ แต่ต้องเป็นตัวจริงจากตระกูลที่ส่งมาบริหารจัดการตามแนวทางที่เขามองไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ตามอำเภอใจ เพราะปัจจัยของคนในครอบครัวก็มีอิทธิพลในการตัดสินใจค่อนข้างสูง

แต่เป้าหมายในการใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ เชื่อว่ายังเดินหน้าตั้งใจทำภารกิจ เสริมสร้าง บ่มเพาะให้ทายาทได้ลงเล่นในสนามนี้ โดยไม่ต้องเจอแรงเสียดทานเหมือนที่ตัวเองเจอมากเกินไป

พร้อมไปกับการปูพรมแดงด้วยการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ปรับเทรนด์การเมืองจากการต่อสู้เรื่องอุดมการณ์-ความคิด มาเป็นเรื่องปากท้องที่สัมผัสได้ เพียงแต่ฐานเสียงคนรุ่นใหม่จะซื้อไอเดียนี้ และนำไปสู่ชัยชนะของเพื่อไทยแบบเบ็ดเสร็จตามที่เขาหวังได้อีกหรือไม่

เพราะคงไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่งัดข้อกับ “ก้าวไกล” หลังจากพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งครั้งที่แล้ว

แต่ในที่สุดจะเป็นบทพิสูจน์ “อัศวินคลื่นลูกที่ 3” ที่เคยเฟื่องฟูมาในอดีต จะฝ่าสายลมที่เปลี่ยนแปลง วางฐานปูพรมแดงให้ทายาทขึ้นมายืนอยู่แถวหน้า ขึ้นแท่นเบอร์ 1 สร้างกระแสฟีเวอร์เหมือนยุคตัวเองได้หรือไม่.  

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปธ.วิปรัฐบาล ขู่ลากไส้ให้หมด รมต.ขี้เกียจหลังยาวหนีตอบกระทู้

นายวิสุทธิ์ ไชยณุรณ สส.บัญชีรายชื่อและประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวกรณีกรณีที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มาตอบกระทู้ในสภาฯ

สส.เพื่อไทย ดักคอ 'ก้าวไกล' เสนอเพิ่มวันประชุมสภาฯ อย่าหวังเอาคะแนนลอยๆ

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวกรณีที่ฝ่ายค้านเสนอให้เพิ่มวันประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาพิจารณากฎหมายสำคัญให้มากขึ้นว่า ขณะนี้ยังไม่มีการหารือกัน แต่หากย้อนไปดูในอดีต เราจะมีการประชุมสภาฯ

ย้อนรอยสปิริต‘เพื่อไทย’ สู่กรณี‘ชาญ พวงเพ็ชร์’

กรณี “ชาญ พวงเพ็ชร์” จากพรรคเพื่อไทย หลังชนะเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เหมือน “มีบุญ แต่กรรมบัง” เพราะใช้พลังและทรัพยากรณ์สุดความสามารถ