ฉากทัศน์'ก้าวไกล'หลังล้มล้าง วนลูปหรือตายสิบเกิดแสน!

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรม เมื่อวันที่ 31 ม.ค. สั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ พรรคก้าวไกล มีความผิดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49  โดยสั่งให้ยุติการกระทำ  จากการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง 

คำวินิจฉัยนี้ถือเป็นหัวเชื้อให้ฝ่ายการเมืองซ้ำดาบสอง คือยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ล่าสุด เมื่อ 1 ก.พ. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยุบพรรคก้าวไกล และคณะกรรมการบริหารพรรค ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 (1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

(2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  

เช่นเดียวกับ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครองฯ ยื่นคำร้องต่อประธาน กกต.และ กกต.เพื่อขอให้พิจารณาดำเนินการกับพรรคก้าวไกล ตามอำนาจหน้าที่เพื่อให้เป็นไปตามคำวิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้อ่านเมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 

และในวันที่ 2 ก.พ.จะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบและเอาผิดจริยธรรมของพรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ที่ร่วมเสนอชื่อแก้ไขกฎหมาย 112 รวมถึงนายพิธาด้วย

นอกจากนี้ ในวันที่ 2 ก.พ. นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เตรียมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.เพื่อสอบจริยธรรมร้ายแรง ฝ่าฝืนข้อ 5 ที่ระบุว่าต้องยึดมั่นและธำรงไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

และข้อ 6 ต้องพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ แก่ สส. 44 คนของพรรคก้าวไกล ก่อนส่งให้ศาลฎีกาตัดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต อย่างเช่น "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กรณีโพสต์ข้อความพาดพิงสถาบันมาแล้ว     

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เกินความคาดหมาย แต่เมื่อประเมินสถานการณ์การเมือง จะยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์ทางการเมือง สส.จำนวน 44 คน ที่เคยลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 แบบทันทีทันด่วนอาจยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ 

เนื่องจากหากยุบพรรคส้มไวเกินไป พรรคคนรุ่นใหม่จะสามารถตั้งหลักได้ทัน เพราะยังเหลือเวลาไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าอีก 3 ปีกว่า จะทำให้มีเวลาสะสมพลังให้แข็งแกร่งกว่านี้ และพรรคก้าวไกลยึดอุดมการณ์การเมืองและระบบ ไม่ยึดตัวบุคคล และมีนายใหญ่ หรือนายทุนที่ชัดเจนเหมือนพรรคการเมืองอื่น

อาจทำให้เอฟซีพรรคส้มก็ไม่ต้องกังวล เพราะได้วางทายาทรุ่นต่อไปสืบสานเจตนารมณ์เอาไว้แล้ว ดังคำพูดที่ว่า "ยิ่งยุบยิ่งโต" หรือ "ตายสิบเกิดแสน" 

จึงมีความเป็นได้ว่า ผู้มีอำนาจตัวจริงในบ้านเมืองอาจเลือกเก็บพรรคก้าวไกลเอาไว้ใช้งานก่อน เพื่อถ่วงดุลและขู่พรรคเพื่อไทยมิให้เหลิงอำนาจ 

เพราะคนชั้นกลางและอีลิทในประเทศนี้ยังไม่ไว้วางใจจากพฤติกรรมในอดีตพรรคภายใต้การครอบงำของระบอบทักษิณ  

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง เผด็จการรัฐสภา แทรกแซงองค์กรอิสระ รวมถึงทำลายกระบวนการยุติธรรมหลังเกิดกรณีนักโทษเทวดาชั้น 14 ฯลฯ 

รวมถึงการบริหารงานของพรรคสีแดงก็ยังไม่เข้าเป้าดังที่หาเสียงไว้ แถมยังส่อเค้าจะสร้างปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง จากปม “ทักษิณ ชินวัตร” ที่กำลังขอพักโทษไปพำนักที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยยังไม่ติดคุกจริงสักวันเดียว  

และปัญหาเศรษฐกิจ จากกรณีไม่ยอมถอยโครงการดิจิทัล วอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาท หลังธนาคารแห่งประเทศไทย ป.ป.ช. และนักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ออกมาตั้งธงคัดค้านเรื่องนี้ เพราะเกรงจะซ้ำรอยโครงการรับจำนำข้าว เช่นเดียวกับภาพลักษณ์การเมือง คนยังมองว่าตระบัดสัตย์ และไร้ความน่าเชื่อถือ  

ขณะเดียวกันในสถานการณ์วิกฤตย่อมถือเป็นโอกาสแก่ "พรรคก้าวไกล" หากคิดเป็น โดยใช้เป็นทางลงให้แก่ตัวเอง และเป็นข้ออ้างแก่ "ด้อมส้ม" เลิกหมกหมุ่นกับการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112    

เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวางหลักการให้เลิกการกระทำที่มุ่งไปสู่การยกเลิกมาตรา 112 ผ่านการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การโฆษณา และการสื่อสารความหมายวิธีอื่นๆ รวมถึงการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ครอบคลุมมาตรา 112 ก็เชื่อว่าจะไม่สามารถทำได้

“หากยังปล่อยให้ผู้ถูกร้องทั้งสองกระทำการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 (พรรคก้าวไกล) จึงเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ซึ่งวรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้” ตอนหนึ่งของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 ม.ค.67

ฉะนั้น เมื่อพรรคคนรุ่นใหม่ตัดเรื่องมาตรา 112 ออกไป จะมีผลดีแก่ตัวเองแล้ว ยังช่วยลดความหวาดระแวงจากประชาชนอีกจำนวนมากที่ชื่นชอบแนวทางการเมืองอย่างพรรคก้าวไกล แต่ยังติดใจเรื่องมาตรา 112 ให้หันกลับมาเลือก

เพราะชอบในเรื่องความกล้าคิด กล้าสร้างให้ความเปลี่ยนแปลง ชนกับกองทัพ ชนทุนผูกขาด ชนระบบราชการล้าหลัง สร้างความเท่าเทียม ทลายระบบสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม และอุปถัมภ์ในสังคม ที่ก่อความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ และมีความเป็นไปได้ที่ประชาชนจะสะสมความไม่พอใจต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองไทย  ไประเบิดในการเลือกตั้งให้ชนะแบบถล่มทลาย

ดังนั้นหากเลือกปรับตัว "พรรคส้ม" ก็มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล แต่หากยังยึดติด และหมกหมุ่นการยกเลิกมาตรา 112 สถานการณ์ก็จะวนลูปแบบเดิมๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เก้าอี้“สมช.”ของร้อนชินวัตร จัดแถว“ตัวจริง-ตัวสำรอง”

เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และต้องกระทำการอย่างรอบคอบในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของรัฐบาล นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ทำให้ต้องใช้เวลาในตรวจสอบคุณสมบัติอย่างรอบคอบ

นายกฯเคาะเลือก'ผบ.ตร.'คนที่ 15 ฟ้าไม่ผ่าปทุมวัน คอนเฟิร์ม'บิ๊กต่าย'

การแต่งตั้งโยกย้ายหน่วยงานความมั่นคงระดับสูงเสร็จไปเกือบทุกหน่วย โดยเฉพาะเหล่าทัพ วันที่ 1 ต.ค.เริ่มงานได้ทันที เหลือเฉพาะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่ต้องเริ่มคัดเลือกตัว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนที่ 15 แทนที่ “บิ๊กต่อ”-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ที่เกษียณอายุราชการหลังวันที่ 2 ต.ค.นี้

จัดทัพสิงห์มท.-วัดใจ "บิ๊กป๊อป"รื้อโผ"ปลัดเก่ง"? อนุทิน-มท.1ลั่นไม่เอาตั๋วฝาก 

วันจันทร์นี้ 30 ก.ย. เป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2567 ที่ก็คือวันสุดท้ายในการทำงานของข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐ ที่อายุครบ 60 ปีต้องเกษียณจากตำแหน่ง

'เลขาส้ม' มีแผนสำรอง โดน 112 เหี้ยนพรรค 'ไหมสอง-โรมสอง' เกิดแน่

เลขาธิการพรรคส้ม-ประชาชน ยอมรับเตรียมแผนสำรองไว้แล้ว หากอดีตส.ส.ก้าวไกลแก้ 112  ไม่รอดโดนเกือบหมดพรรค  ระบุเห็นแถวสี่  รับไม้ต่อ “ไหมสอง-โรมสอง”เกิดแน่

เกมยื้อแก้ 'รัฐธรรมนูญ' ' อิ๊งค์' หนักคอพาดเขียง

ประเด็นการเมืองร้อนแทรกขึ้นมาท่ามกลางปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน และเศรษฐกิจ หลังพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ใจตรงกันยื่นแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยมีเป้าหมายคือลดอำนาจการตรวจสอบนักการเมืองผ่านองค์กรอิสระ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และ กกต.

ถกนัดแรก‘5กุนซือ’นายกฯอิ๊งค์ ปักธง‘ไทยพ้นยากจน’รัฐบาลนี้

ได้ฤกษ์รัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์”-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถกนัดแรก “คณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี” ที่ บ้านพิษณุโลก บ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเรือนรับรองแขกสำคัญของรัฐบาล