จับกระแสท่าทีทางการเมืองของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ต่อ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต-ออกกฎหมายกู้เงินห้าแสนล้านบาทแจกประชาชน แลเห็นได้ชัด เศรษฐายังจะเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป
อันเป็นท่าทีหลังเศรษฐาเดินทางกลับจากการปฏิบัติราชการที่ต่างประเทศเมื่อวันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 19 มกราคม
แม้ก่อนหน้านี้จะมีการเผยแพร่เอกสาร ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่ศึกษาโดย คณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มี สุภา ปิยะจิตติ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานคณะทำงาน
ที่ในรายงานของคณะกรรมการฯ ระบุว่า นโยบายดังกล่าวมีความเสี่ยง 3 ด้านสำคัญคือ
-ความเสี่ยงในเรื่องการทุจริตเชิงนโยบาย
-ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ
-ความเสี่ยงด้านกฎหมาย
จนทำให้เกิดกระแสความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ตามมา
โดย เศรษฐา-นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ล่าสุดเมื่อ 19 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้รับรายงานและเท่าที่ทราบทางจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง บอกจะคอยรับรายงานเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตจากสำนักงาน ป.ป.ช.
และเมื่อสื่อถามว่า รายงานดังกล่าวของ ป.ป.ช.ระบุว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตไม่คุ้มค่าและยังไม่มีการป้องกันการทุจริต ทำให้นายกฯ ออกมาท้าว่า
“เรื่องคุ้มค่าไม่คุ้มค่า ผมเชื่อว่าเรามีตัวเลขที่สามารถอธิบายได้ ส่วนเรื่องทุจริต ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่มีแน่นอน ถ้าท่านสงสัยว่าทุจริตตรงไหนขอให้บอกมา เพราะตรงนี้ทางรัฐบาลมีหน้าที่อธิบาย เพราะตรงนี้เป็นการใช้เทคโนโลยีในการที่จะส่งเงินเข้ากระเป๋าของพี่น้องประชาชน ผมไม่เห็นว่าจะทำทุจริตตรงไหนได้เลย
คือจริงๆ แล้วอย่าพูดลอยๆ ว่ามีการทำทุจริตได้ ผมก็เข้าใจทางด้านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องระมัดระวังตรงนี้ แต่ถ้าบอกได้ว่าตรงไหนมีการทุจริต เราก็พร้อมที่จะอธิบายให้ฟัง ถ้าอธิบายไม่ได้ ถ้าเกิดมีข้อกังขาก็คงทำไม่ได้ ณ จุดนี้เดินหน้าเต็มที่” นายกฯ ระบุ
ก็เป็นท่าทีของนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ที่ประเมินแล้วยังไงคงต้อง
ดัน-เข็นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต
ไปจนสุดทาง คงไม่ยอมยกธงขาว เลิกกลางคันง่ายๆ
ซึ่งก็ไม่ใช่ท่าทีอันเหนือความคาดหมายทางการเมือง เพราะเศรษฐา-เพื่อไทย ย่อมรู้ดีว่า หากไม่แสดงออกถึงการผลักดันดิจิทัลวอลเล็ตอย่างสุดแรง ก็จะถูกมองว่าไม่ทำตามที่หาเสียงกับประชาชน และเพื่อไทยเชื่อว่ามีประชาชนหลายล้านคนที่รอคอยดิจิทัลวอลเล็ตอยู่ ดังนั้น ยังไงก็ต้องดันให้ถึงที่สุด
แต่หากสุดท้ายไปต่อไม่ได้ ค่อยมาว่ากันอีกที เช่น หากสะดุดในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีหากมีการออกกฎหมายแล้วมีคนไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความและศาลสั่งเบรกให้หยุด
หากผลสุดท้ายจบที่ฉากนี้ เศรษฐา-เพื่อไทยก็จะอ้างได้ว่า ดันให้เต็มที่แล้ว แต่ถูกองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญสกัด แบบนี้เพื่อไทยเชื่อว่าตัวเองจะไม่เสียคะแนน แต่หากยังดันไม่สุดแล้วเลิกกลางคัน แบบนี้อาจเสียหายทางการเมือง ไปจนถึงการเลือกตั้งรอบหน้าที่จะมีขึ้น
ขณะที่ท่าทีล่าสุดของทีมงานสำนักงาน ป.ป.ช.ที่ศึกษาและจัดทำรายงานเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต หลังนายกรัฐมนตรียืนกรานจะเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป
เรื่องนี้ รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ หนึ่งในคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัลวอลเล็ตของสำนักงาน ป.ป.ช.-อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตรับจำนำข้าวของ ป.ป.ช. ระบุไว้ล่าสุดว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นการแจกเงินเพื่อการบริโภค โดยการจะออกกฎหมายพิเศษมากู้เงินหลายแสนล้านบาท และยังคงเดินตามเกณฑ์เดิมเช่น จะให้กับคนที่มีรายได้มีเงินเดือนไม่ถึงเจ็ดหมื่นบาทต่อเดือน สมมุติว่ารัฐบาลยังคงยืนยันตามนี้ มันจะทำให้เกิดความเสี่ยงหลายด้านด้วยกัน
ดร.สิริลักษณา กล่าวว่า ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นก็มีเช่น การที่จะออกกฎหมายกู้เงินมา ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยในบางคดีก่อนหน้านี้ว่า หากมีการออกกฎหมายพิเศษกู้เงินมา เงินที่กู้มาต้องส่งให้กระทรวงการคลัง ซึ่งตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ บัญญัติไว้ว่า เมื่อเงินดังกล่าวไปอยู่ที่กระทรวงการคลังแล้ว การที่จะดึงเงินออกมาใช้ต้องมีการออกกฎหมายต่างๆ มารองรับ แต่เมื่องบที่จะทำดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้อยู่ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปกติ การจะออกกฎหมายพิเศษมากู้เงิน ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ บอกว่าจะต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อแก้ไขวิกฤตของประเทศ แต่เมื่อดูสภาพเศรษฐกิจของประเทศเวลานี้ โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น เรื่องเงินเฟ้อ สภาวะการคลังของประเทศ ก็จะพบว่าไม่มีเกณฑ์ข้อใดที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะฉะนั้น ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องนี้ด้วยการออกกฎหมาย มันก็จะขัดกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ที่จะนำเงินคลังออกมาใช้
“นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการทุจริตได้ เพราะว่าเครื่องมือที่จะใช้ในการกระจายเงินให้ประชาชนนำไปใช้ ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้ระบบแบบใด จะใช้บล็อกเชนเหมือนเดิมหรือไม่ โดยหากจะใช้เทคโนโลยีขนาดนั้น ก็ต้องมีการไปว่าจ้างผู้มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีดังกล่าว ที่ก็อาจจะเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกัน อาจเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์หรือคนที่ให้ผลประโยชน์กับบุคคลในรัฐบาล ซึ่งตรงนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่จะถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบสวน และอาจถูกชี้มูลก็อาจเป็นไปได้”
รศ.ดร.สิริลักษณา ยังระบุอีกว่า อีกทั้งในด้านเศรษฐศาสตร์ การแจกเงินเพื่อให้ไปใช้ในการบริโภคไม่มีประสิทธิภาพ แต่ควรใช้เงินไปกับการลงทุนโดยภาครัฐ ที่จะทำให้จีดีพีขยายตัวมากกว่าที่จะให้เงินครัวเรือนนำไปใช้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าจีดีพีขยายตัวมากกว่าโดยที่รัฐบาลเป็นผู้ใช้จ่ายในการลงทุน ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะหากรัฐบาลลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มคนที่อยู่ในชนบทในพื้นที่ห่างไกล ที่อินเทอร์เน็ตก็ยังเข้าไม่ถึง หากรัฐบาลลงทุนในลักษณะนี้มันจะเป็นประโยชน์กับคนที่ขาดโอกาสจริงๆ
“ดังนั้น การที่จะเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตก็มีความเสี่ยงหลายด้านด้วยกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นธรรม รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลดูแลประชาชนอย่างเป็นธรรม แต่การแจกเงินลักษณะแบบที่จะทำ ไม่มีความเป็นธรรม เพราะบางคนแม้อาจจะมีเงินเดือนไม่ถึงเจ็ดหมื่นบาท ทำให้จะได้รับสิทธิ์ดิจิทัลวอลเล็ต แต่เขาอาจจะมีทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ที่ดิน มีสินทรัพย์จำนวนมากกว่าคนที่มีเงินเดือนเจ็ดหมื่น แล้วรัฐบาลจะตรวจสอบตรงนี้ได้อย่างไร หากไม่มีการตรวจสอบแล้วให้เงินกับคนเหล่านี้ไป ก็มีความไม่เป็นธรรมอีกเช่นกัน”
“สิ่งสำคัญคือ เราอยากให้ประชาชนเข้าใจว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตมันทำร้ายประเทศไทย จะทำให้เราต้องตกเป็นหนี้กันไปอีกนาน”
ขณะเดียวกันอีกหนึ่งองค์กรอิสระที่ขยับในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ก็คือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ปัจจุบันมี
ประจักษ์ บุญยัง เป็นผู้ว่าฯ สตง.
พบว่า ก่อนหน้านี้ก็ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ศึกษาความเสี่ยงและผลกระทบจากการดำเนินนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานออกมาว่าคณะทำงานชุดดังกล่าวของ สตง.มีการศึกษาพิจารณาไปถึงไหนแล้วบ้าง
สาเหตุคงเพราะ สตง.เป็นหน่วยตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานรัฐ คือต้องมีการใช้จ่ายเงินก่อนเป็นหลัก ถึงจะตรวจสอบว่าโครงการเป็นอย่างไร มีการทุจริต มีการรั่วไหลของงบประมาณและการใช้จ่ายเงินมีความคุ้มค่าหรือไม่ เมื่อตอนนี้ยังไม่มีการทำดิจิทัลวอลเล็ต เลยทำให้คณะทำงานของ สตง.อาจยังไม่ได้ขยับอะไรมากนัก
แต่ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อตรวจสอบจากเว็บไซต์ของ สตง.มีการเผยแพร่บทความที่เป็นบทความสาธารณะ ชื่อ การวิเคราะห์นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตต่อการรักษาวินัยการเงินการคลัง : ข้อเสนอในการจัดทำรายงานการศึกษาเบื้องต้นในรูปแบบ Non-audit product บทความสำนักการต่างประเทศ เนื้อหาโดย ดร.สุทธิ สุนทรานุรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ซึ่งแม้จะเป็นบทความที่เผยแพร่ตั้งแต่ช่วงตุลาคม 2566 แต่ก็เป็นท่าทีซึ่งน่าสนใจไม่น้อยว่า ผู้บริหาร-บุคลากรที่มีตำแหน่งในฝ่ายบริหารขององค์กรอิสระอย่าง สตง. มีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลเพื่อไทย
โดยตอนหนึ่งของบทความดังกล่าวระบุว่า สตง.ในฐานะองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับ รวมทั้งให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เงินงบประมาณ
“ในฐานะผู้เขียนเป็นผู้ตรวจสอบและนักเศรษฐศาสตร์ (Auditonomist) ผู้เขียนมองว่าผลกระทบของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอาจส่งผลต่อการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐในอนาคต”
เบื้องต้นผู้เขียนได้รีวิวกรณีศึกษาการแจกเงินในลักษณะนี้จากต่างประเทศ เช่น นโยบายแจกเงินสดให้กับประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ภายใต้ชื่อ "Yi Qian Fu" ซึ่งใช้เงินงบประมาณจำนวน 3.6 ล้านล้านหยวน แม้ว่านโยบายนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในปี 2021 แต่กลับมีผลกระทบต่อการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐเช่นกัน โดยทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 267.4 ล้านล้านหยวนในปี 2020 เป็น 310.7 ล้านล้านหยวนในปี 2021” บทความดังกล่าวระบุ
นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ตอนนี้หลายคนบอกอยู่ในอาการลูกผีลูกคน-เลี้ยวกลับไม่ได้ ไปต่อก็อาจไม่ถึงฝั่ง สุดท้ายจะจบลงแบบไหน ดูสถานการณ์แล้วต้องบอกว่าเข็นต่อได้ แต่โคม่าและสุ่มเสี่ยง!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แรงต้าน'เสี่ยโต้ง'คุมธปท.แรง ลือสลับไพ่เปลี่ยนตัวปธ.บอร์ด
การที่คณะกรรมการคัดเลือกประธานธนาคารแห่งประเทศและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ธปท. ที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เลื่อนประชุมลงมติเลือก ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และกรรมการ ธปท.ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 2 ตำแหน่ง จากวันที่ 4 พ.ย.ออกไปอีก 1 สัปดาห์เป็นวันจันทร์ที่ 11 พ.ย. วิเคราะห์ไว้ว่าอาจเกิดจาก 2 สาเหตุ
เปิดชื่อผู้สมัคร ป.ป.ช. 3 เก้าอี้ คนดังเพียบ ผู้พิพากษา อัยการ บิ๊กทหาร-ตำรวจ อดีตผู้ว่าฯ
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรณีแทนตำแหน่งที่ว่าง (พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.
'อิ๊งค์' แค่พยักหน้า ปม รพ.ตร. ไม่ยอมส่งเวชระเบียน 'พ่อนายกฯ' ให้ ป.ป.ช.
'นายกฯอิ๊งค์' ปฏิเสธตอบคำถาม ปม รพ.ตำรวจ ไม่ส่งเวชระเบียนรักษาตัว 'ทักษิณ' หลัง ‘ป.ป.ช.’ ทวงแล้ว 3 ครั้ง ทำแค่พยักหน้ารับทราบ
‘ผู้การจ๋อ’ ส่งทนายยื่นหนังสือ ‘ผบ.ตร.’ ยัน ป.ป.ช.ไม่ชี้มูล คดี ‘อัจฉริยะ’ ร้องเรียน
ทนายความของ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำมติ ป.ป.ช.ที่ไม่ชี้มูลความผิด กรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร้องทุกข์กล่าวโทษ
ลุ้นอีกรอบ! ‘บิ๊กจ้าว-พล.ต.ท.ธิติ’ โผล่สมัครชิงเก้าอี้ ป.ป.ช. เปิดรับวันสุดท้าย 4 พ.ย.
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะหน่วยธุรการ เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จำนวน 3 คน ระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2567
เอ็มโอยู44-เอื้อนายทุน จุดจบรัฐบาลไม่ครบเทอม
หากอ้างอิงข้อมูลจากนิด้าโพลเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา หัวข้อ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ อยู่ครบเทอมหรือไม่ โดยประชาชนมากกว่า 57.71% มองว่าอยู่ไม่ครบเทอม ประกอบด้วยสัดส่วนร้อยละ