ปฏิกิริยาของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ในช่วง 1-2 วันนี้ ถูกจับตาจากสังคมว่า กำลังจะเปิดศึกกับผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ หรือไม่
โดยเมื่อวันที่ 7 ม.ค. นายกิตติรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกฯ ในฐานะกุนซือเศรษฐกิจคู่ใจ ‘เศรษฐา’ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เนื้อหาพุ่งตรงไปที่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
‘กิตติรัตน์’ ระบุว่า “ไม่ได้เพิ่งมาพูด จะพูดจนกว่าจะเปลี่ยน” พร้อมแจกแจงเชิงประชดประชันอีกว่า
“10 ส.ค.66 ขึ้นดอกเบี้ยชะลอเงินเฟ้อจาก cost push ไม่ได้
30 ก.ย.66 ถามธนาคารพาณิชย์ว่า "ไม่สงสารลูกหนี้หรือ?"
5 ธ.ค.66 ลูกหนี้รับดอกเบี้ยที่สูงแบบนี้ไม่ไหวแล้ว
5 ม.ค.67 ลดดอกเบี้ยให้เร็วและมากคือทางรอด
7 ม.ค.67 กำไรสูงบนความวินาศของลูกค้าช่างน่ารังเกียจ และขอตำหนิผู้กำกับธุรกิจ
ต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน นายเศรษฐาโพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ระบุว่า “จากการที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ย ทั้งๆ ที่เงินเฟ้อติดลบติดต่อกันหลายๆ เดือนนั้น ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเลย และยังมีผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อย และ SME อีกด้วย
ผมจึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูราคาสินค้าเกษตรบางชนิดให้เหมาะสม เพราะอาจจะต่ำไปก็ได้ และหวังว่าแบงก์ชาติจะช่วยดูแลประชาชน ไม่ขึ้นดอกเบี้ยสวนทางกับเงินเฟ้อนะครับ”
เช้าอีกวัน ‘เศรษฐา’ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
“ความจริงแล้วเราก็พูดคุยกันตลอดอยู่แล้วในเรื่องนี้ และเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จุดยืนของผมก็ชัดเจนว่า ผมไม่เห็นด้วย”
ท่วงท่าของทั้ง ‘เศรษฐา-กิตติรัตน์’ ต่อเรื่องดอกเบี้ย ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า มีการนัดแนะต่อ ‘จุดยืน-ท่าที’ นี้กันมาก่อนจะโพสต์ออกไป
และไล่ไทม์ไลน์ย้อนกลับไป จะพบว่าจุดเริ่มต้นเรื่องนี้มีปฐมบทมาจากนักเขียนชื่อดัง นามปากกา ‘หนุ่มเมืองจันท์’ โพสต์ถึงเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ กับกำไรของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ 2.2 แสนล้านบาท ที่มากสูงสุดในประวัติการณ์ว่า เป็นความผิดปกติ นอกจากนี้ยังตั้งคำถามถึงแบงก์ชาติว่า ไม่รู้สึกถึงความผิดปกตินี้บ้างหรือ
“แบงก์ชาตินั้นเหมือนคุณหมอที่ดูแลเรื่อง “หัวใจ” เมื่อเห็นการทำงานของ “หัวใจ” เต้นผิดปกติแบบนี้ จะไม่คิดทำอะไรบ้างเลยหรือ หรือเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติของเศรษฐกิจประเทศที่แบงก์ชาติบอกว่ากำลังฟื้นตัว”
หากสังเกตจะเห็นว่า เนื้อหาในการโพสต์ของทั้ง 3 คน เป็นเรื่องเดียวกัน ใจความเดียวกัน และออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ พุ่งไปยัง ‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ โดยตรง ในประเด็นการขึ้นดอกเบี้ย
เรื่องนี้ไม่ได้บังเอิญ หากแต่เกิดขึ้นบน ‘ความจงใจ’
ที่ผ่านมาผู้บริหารในรัฐบาลเองไม่ค่อยพอใจกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีผู้ว่าฯ ธปท.เป็นประธานสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ ‘กิตติรัตน์’ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้ว่าฯ ธปท.มาตั้งแต่สมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
มาถึงรัฐบาลชุดนี้ ‘กิตติรัตน์’ ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยแฮปปี้กับ กนง.และ ธปท.สักเท่าไหร่ เพราะมองว่าเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ
แต่ก็ทำได้แค่แสดงออกว่าไม่พอใจ ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะการจะปลดผู้ว่าฯ ธปท.เป็นเรื่องที่ยากกว่าการปรับคณะรัฐมนตรีเสียอีก
สำหรับท่าทีของ ‘เศรษฐา-กิตติรัตน์’ ครั้งนี้ จุดประสงค์น่าจะเป็นการทำสงครามจิตวิทยา โดยใช้กระบวนการทางสังคม ‘กดดัน’ มีการฉายภาพให้เห็นว่า ในขณะที่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์กำลังเฟื่องฟู แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนกำลังลำบาก สวนทางกัน
จุดใหญ่คือเรื่อง ‘อัตราดอกเบี้ย’ ที่ทั้ง ‘เศรษฐา-กิตติรัตน์’ อยากจะให้ กนง.ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ต้องแบกดอกเบี้ยหลังแอ่น
เป็นการใช้กระบวนการทางสังคมกดดันเพื่อให้ กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยลงมา
โดยชี้เป้าไปที่ ‘ผู้ว่าฯ ธปท.’ ในฐานะกำกับดูแลเรื่องนี้ ซึ่งมีอำนาจที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
ซึ่งเรื่องลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว รัฐบาลเองหมายมั่นว่า จะให้เป็นหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนเรื่องลดค่าใช้จ่ายแบบที่เห็นผลได้เร็ว ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์คือ ‘ผู้ที่กู้ธนาคาร’ อย่างเช่น ผู้ที่ต้องผ่อนบ้าน
ที่น่าสนใจคือ ‘กนง.’ จะมีท่าทีอย่างไร ซึ่งน่าติดตาม แต่อย่าลืมว่า มันไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยใช้ยุทธวิธีแบบนี้ สมัย ‘กิตติรัตน์’ เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เคยทำ
ถึงขั้นขู่จะปลดผู้ว่าฯ ธปท.กันก็มีมาแล้วในอดีต แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้
โดย กนง.จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาอัตรา ‘ดอกเบี้ยนโยบาย’ ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ จึงต้องจับตาว่า สงครามประสาท โดยเอาความเดือดร้อนของประชาชนมากดดันจะได้ผลหรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดภารกิจ 'กิตติรัตน์' ในตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ ทำหลุดเก้าอี้ 'ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ'
กรณีที่ประชุมคณะกรรมการกฤษฎีการ่วม 3 คณะ มีมติด้วยเสียงข้างมากเห็นว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
พ่อบงการ ลูกตามสั่ง
“พ่อบงการ ลูกตามสั่ง” ผ่าน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” คงไม่เกินเลยความเป็นจริง เพราะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ มีคำบัญชาผ่านเวทีต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ก็สนองนโยบายทันที โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะขาดความน่าเชื่อถือ และยำเกรงต่อกฎหมายมิให้คนนอกเข้ามาครอบงำแต่อย่างใด”.
ทักษิณไฟสุมขอน ‘รทสช.’ เขย่าบัลลังก์ ‘พีระพัง’
“สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” มอตโตขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนถึงปัจจุบัน จากพรรคน้องใหม่ตอนนี้ทำงานมากว่า 3 ปีแล้ว โดยการนำของ “ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค กุมทัพ 36 สส.ในปัจจุบัน
จี้ 'พิชัย' พ้นเก้าอี้ รมว.คลัง ความผิดสำเร็จ เสนอชื่อ 'กิตติรัตน์' ขาดคุณสมบัติเป็นปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ระบุว่า ไม่รอด กิตติรัตน์ ณ ระนอง ขาดคุณสมบัติ เป็นประธานบอร์ดแบงค์ชาติ เพราะนั่งที่ปรึกษาของนายกฯ
“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง
ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา
'วังบางขุนพรหม' ฝุ่นตลบ! อีกหนึ่งตัวเต็งส่อวืดเสียบแทน 'กิตติรัตน์' นั่งปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกประธานบอร์ดธปท.กล่าวถึงกรระแสข่าวคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ มีความเห็นเบื้องต้นว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง