“ยังต้องวัดผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการฟื้นเศรษฐกิจประเทศให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงฝีมือในการบริหารจัดการกลุ่มผลประโยชน์ไม่ให้เกิดแรงต้านไปจนกว่าจะครบเทอม ภายใต้แผงอำนาจที่ครอบคลุมทุกองคาพยพอยู่ฉากหลัง”
ผ่านไปแล้วสำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท โดยที่ประชุมลงมติเห็นชอบ 311 ต่อ 177 เสียง รับหลักการในวาระ 1 ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ 72 คน ประชุมนัดแรกวันที่ 8 ม.ค.นี้
แม้ครั้งนี้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการ ต่อยไม่สุดหมัด เพราะอาจมีเจ้าของพรรคตัวจริงสั่งการอยู่ข้างหลังให้ออมมือเพื่อรอ “ล้างไพ่” การเมืองทุกกระดาน เข้าสู่สภาวะเริ่มต้นการเมืองในระบบอย่างจริงจัง
จากอุณหภูมิของการประชุมที่ไม่ได้ดุเดือดเลือดพล่าน ดันเพดาน เหมือนตอนการอภิปรายในยุค “ลุงตู่” นัก ก็มีการวิเคราะห์กันว่านักการเมืองหลายคนในฝั่งของ “ก้าวไกล” รู้เกมและจังหวะในการ ปล่อยหมัด ปรับกลยุทธ์ในการทำงานแบบไม่เสียเปล่า ลดเพดาน ที่จะเป็นเงื่อนไขติดตัวรุงรัง สุ่มเสี่ยงที่จะก้าวไม่ข้ามเส้นจากฝ่ายค้านไปเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า
เรียกได้ว่าเป็นการเตรียมตัวทุกด้าน อ่านทางคู่ต่อสู้ให้เป็น หลังจากประดาบกันมาพอสมควร เพื่อเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น นั่นก็คือหวังคว้าชัยอย่างเบ็ดเสร็จในการเลือกตั้งสมัยหน้า
“เวทีครั้งนี้ไม่ใช่เวทีที่พวกผมจะทำลายล้างรัฐบาล แต่เป็นเวทีซ้อมมือเพื่อเอาชนะรัฐบาล ด้วยการทำงานที่เต็มเปี่ยมและข้อเสนอที่ดีกว่า พวกเราจะชนะด้วยการเก็บเกี่ยวปัญหาและรู้วิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่า มาแข่งกันเอาชนะใจประชาชน แม้พวกเราชนะการเลือกตั้ง แต่แพ้กติกาการจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบัน วันนี้อำนาจอยู่ในมือรัฐบาล ขอให้ทำให้ดี เพราะเชื่อว่าผู้แพ้จากการทำงาน 4 ปีต่อจากนี้จะโดนบดขยี้ด้วยฉันทามติประชาชน” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสรุป
“ก้าวไกล” เลือกขยี้จุดที่แข็งที่สุขของพรรคเพื่อไทย แต่กลับมีการยั้งมือแบบมีนัย เพราะตลอดการอภิปราย 3 วันแทบจะไม่แตะนักโทษเทวดาชั้น 14 ให้ระคายผิว แม้ภายหลังจะอธิบายว่ามุ่งเน้นการอภิปรายไปที่เนื้อหามากกว่าดรามาการเมือง แต่ก็เกิดคำถามคาใจหลายคนอยู่ดี
ยุทธวิธีในการนำเสนอจึงเน้นไปที่การตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการตั้งงบเพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจ แต่จัดทำแบบปกติ และไปมุ่งเน้นที่การ “หาเงิน” จากความไม่แน่นอนในวันครั้งหน้า ทั้งเงินกู้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต การท่องเที่ยว การลงทุนของภาคเอกชนยักษ์ใหญ่
“สรุปแล้วร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ดิฉันไม่เห็นอะไร นอกจากเป็นบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพ นี่หรือคือรัฐบาลที่สืบทอดชื่อเสียงกันมาว่าเก่งด้านเศรษฐกิจ ขึ้นชื่อเรื่องหาเงินได้ ใช้เงินเป็น กลับผิดพลาดในการบริหารงบประมาณมากขนาดนี้” ศิริกัญญา ตันสกุล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกล ระบุ
ขณะที่ ชัยธวัช ตุลาธน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน มองในภาพรวมว่า การจัดทำงบของรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน สะเปะสะปะ เป็นการรับมรดกมาจากรัฐบาลที่แล้วมาทำต่อ รับแผนงานกระทรวงที่ทำไว้มาเป็นนโยบายของรัฐบาล ประเมินรายได้เกินจริง
“เราจะพบว่ามันเป็นงบประมาณที่เป็นเบี้ยหัวแตก สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ เหมือนทำงานอย่างไม่มีวาระเป้าหมายชัดเจน หลายเรื่องหน้าปกดูดี แต่พอเข้าไปดูไส้ในแล้วพบว่าไม่ได้ยึดโยงกับเป้าหมายในทางนโยบาย ส่วนใหญ่เป็นโครงการเดิมๆ แต่เอามาเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนปกแบบมั่วๆ ก็มี โครงการเก่าๆ เดิมๆ ก็จับมาโยงกับเป้าหมายใหม่ แถมยังนับรวมเอาทุกรายจ่ายแล้วมาเคลมว่าเป็นงบใหม่ สำหรับการลงทุนของรัฐบาลใหม่ที่ชอบทำที่สุดก็อย่างทำถนน กลายเป็นงบโครงการพิเศษที่ตอบโจทย์ได้แทบทุกยุทธศาสตร์ โดยโครงการที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ประมาณ 2,000 โครงการ เราเห็นโครงการใหม่อยู่ 200 โครงการเท่านั้น ซึ่งโครงการใหม่แทบทั้งหมดใน 200 โครงการนี้ เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะรัฐบาลชุดใหม่ แต่เกิดขึ้นเพราะมีหน่วยรับงบประมาณใหม่ที่ตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่การผลักดันเพื่อขับเคลื่อนของรัฐบาล
ทางด้านงบของกระทรวงกลาโหม ที่จัดทีม สส.หน้าใหม่ใน อภิปรายแทน “รังสิมันต์ โรม” กับ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ที่เคยเป็น ตัวตึง ในข้อมูลด้านนี้ โดยทั้งคู่นั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ และคณะกรรมาธิการทหาร เดินสายพบปะพูดคุยกับทัพ ทำงานอีกบทบาทหนึ่งไปแล้ว
แต่ สส.ใหม่ที่อภิปรายเลือกแซะไปที่การ อวยกองทัพ-เกรงใจทหาร ในฐานะมีตัวละครเบื้องหลังที่เชื่อมโยงกองทัพประกอบร่างสร้างรัฐบาลเศรษฐา 1 ขึ้นมา ก็ยังคุมประเด็นไปที่เนื้อหารายโครงการ เรียบเรียงตั้งคำถามที่สงสัย แต่ไม่เจาะไปที่งบโครงสร้างอำนาจ หรือสถาบัน ตามที่หลายฝ่ายกังวล
แม้จะเป็นการ ซ้อมมือ แต่สะท้อนให้เห็นว่า “ก้าวไกล” มีความเป็นทวิลักษณะซ้อนทับอยู่ในภาพทางการเมือง กล่าวคือ เริ่มมีความเป็นสถาบันการเมืองมากขึ้น เนื่องจากมีการบริหารจัดการ แบ่งสรรบุคลากรของพรรคได้มีบทบาท ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า สามารถทดแทนกันได้
ถอดบทเรียนการต่อสู้ในอดีต โดยลดเงื่อนไขในการเดินเกมการเมือง หากจะเข้าเป็นฝ่ายบริหารต้องพร้อมทั้งปากและฝีมือ ปรับบุคลิกการทำงานให้ร่วมงานกับผู้อื่นได้
แต่ขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของการกำหนดมาจากเจ้าของพรรคในการ “เหยียบเบรก” ไม่ให้พูดเรื่องที่พัวพันกับพันธมิตรชั้น 14 จนยากจะปฏิเสธว่า ไม่มีใบสั่ง
เหล่านั้นก็ไม่ได้ “การันตี” ว่าหนทางในการเดินเข้าสู่ฝ่ายบริหารจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะสัญญาณต่างๆ ยังไม่ชัด อีกทั้งยังต้อง วัดผลงาน ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการฟื้นเศรษฐกิจประเทศให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงฝีมือในการบริหารจัดการกลุ่มผลประโยชน์ไม่ให้เกิดแรงต้านไปจนกว่าจะครบเทอม ภายใต้แผงอำนาจที่ครอบคลุมทุกองคาพยพอยู่ฉากหลัง
ปัญหาที่ท้าทายอีกประการคือ ห้วงเวลาในการใช้งบประมาณ เมื่อดูจากไทม์ไลน์แล้วจะเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากนัก รอยต่อระหว่างนี้ กระทรวง ทบวง กรม ต้องสำรองและใช้งบอย่างจำกัด
“เนื่องจากใช้เวลาไปตั้งรัฐบาลเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอยู่หลายเดือน แต่หลัง ครม.มีมติให้รื้องบประมาณดังกล่าว ก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนเช่นเดียวกันกว่าจะกลับเข้าสู่สภาได้ ทำให้งบประมาณฉบับนี้ต้องไปบังคับใช้ประมาณเดือน พ.ค. จึงส่งผลให้งบประมาณฉบับนี้เป็นงบฉบับเป็ดง่อย เพราะงบประมาณทั้งสิ้น 3.48 ล้านล้านบาท รัฐบาลมีเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน จากปกติ 12 เดือน เท่ากับว่ามีเวลาใช้เงินแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพของการใช้เงิน เรื่องของการใช้เงินงบลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจมีเพียง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่มีเวลาใช้เพียง 5 เดือน สุดท้ายก็จะเป็นงบเป็ดง่อย ไม่สามารถนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เต็มร้อย” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในสภา
เวทีอภิปรายงบในครั้งนี้จึงเป็นแค่ช่วง “โหมโรง” ของฝ่ายค้าน และเป็นการดูท่าทีระหว่างกลุ่มการเมืองในช่วงที่ยังไม่มีปัจจัยเร่งเร้าให้ต้องการ “เผชิญหน้า” หรือ “รุกรบ”
รวมไปถึงดูท่าทีการย้ายข้าง-สลับขั้วมาฝั่งรัฐบาลของนักการเมืองบางคนในพรรคขนาดเล็ก ที่มองว่า 4 ปีข้างหน้าจะทนอยู่ในสภาวะ “อดอยากปากแห้ง” ได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ทางด้านรัฐบาลก็ชี้แจงว่า การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล และมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ยังยืนยันเดินหน้าโครงการเงินกู้ดิจิทัลวอลเล็ต ย้ำเรื่องการสร้างกำลังซื้อ ตอบโจทย์นโยบายในคำโฆษณาหาเสียง โดยไม่กระทบต่อวินัยการเงินการคลัง
เลยไปถึงโครงการขนาดใหญ่และเป็นการวางแผนระยะยาวอย่าง “แลนด์บริดจ์” รวมไปถึงการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา นับเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่ถือเป็นความคาดหวังว่าจะสร้างแรงหมุนของเงินในระบบ นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด
แต่อย่าลืมว่า รัฐบาลยังมีระเบิดเวลาอีกหลายลูกระหว่างทาง ทั้งปมประเด็นเรื่องชั้น 14 ที่รัฐบาลยังไม่สามารถทำความจริงเรื่อง “ป่วยจริง” หรือ “ป่วยเก๊” หรือการทำให้ร่างระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่ออกมาใหม่นำไปใช้เป็นมาตรฐานเดียวกับนักโทษทั้งหมด ไม่ใช่แค่การนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเปิดช่องให้คนของตัวเอง หรือเอาไว้ต่อรอง ล่อเหยื่อพรรคการเมืองอื่นๆ ว่าอาจจะได้รับอานิสงส์จากระเบียบนี้ด้วย
การปูทางส่งมอบ “มรดก” พรรคเพื่อไทยให้กับ “รุ่นลูกของทักษิณ” ซึ่งเหล่าบรรดาลูกจ้าง-ลูกหาบของชั้น 14 กำลังกรำงานหนัก สรรค์สร้าง “โครงการซอฟต์พาวเวอร์” เป็นวาระแห่งชาติ จัดอีเวนต์โชว์ศักยภาพ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เพื่อเป็นผลงานชิ้นโบแดงในวาระรัฐบาล 4 ปี ท่ามกลางการตั้งคำถามเรื่องการจัดสรรงบและคำนิยาม ทำให้ต้องมีการชี้แจงทั้งในและนอกสภา เป็นอภิมหางานช้างปกป้องโปรเจกต์ ขวางการ “ด้อยค่า” ของฝ่ายค้าน
เหนืออื่นใดคือผลงานของรัฐบาลในการฟื้นเศรษฐกิจจะเป็นตัวชี้วัดว่าเพื่อไทยจะเรียกคะแนนความนิยมกลับมาได้มากน้อยแค่ไหนด้วย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พ่อบงการ ลูกตามสั่ง
“พ่อบงการ ลูกตามสั่ง” ผ่าน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” คงไม่เกินเลยความเป็นจริง เพราะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ มีคำบัญชาผ่านเวทีต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ก็สนองนโยบายทันที โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะขาดความน่าเชื่อถือ และยำเกรงต่อกฎหมายมิให้คนนอกเข้ามาครอบงำแต่อย่างใด”.
ทักษิณไฟสุมขอน ‘รทสช.’ เขย่าบัลลังก์ ‘พีระพัง’
“สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” มอตโตขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนถึงปัจจุบัน จากพรรคน้องใหม่ตอนนี้ทำงานมากว่า 3 ปีแล้ว โดยการนำของ “ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค กุมทัพ 36 สส.ในปัจจุบัน
“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง
ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา
“พ่อเลี้ยง”เปลี่ยนสนามรบเป็นทุน “ดับไฟใต้-สันติภาพเมียนมา”
“ฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง” นับเป็นภาพการเมืองในฝ่ายบริหารที่ “วิญญูชน” พึงประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขยับตัวและคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” วิทยากร-นักวิชาการของพรรคเพื่อไทย
47 เก้าอี้นายกฯอบจ. บ้านใหญ่ ลุ้นเข้าวิน-กินเรียบ!
คิกออฟ นับหนึ่งตั้งแต่จันทร์ที่ 23 ธ.ค.ที่เป็นวันแรกของการรับสมัครบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนายกฯ อบจ. 47 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงที่ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ 76 จังหวัด
‘แม้ว’ ไล่ทุบ- ‘ภูมิใจไทย’ ไม่หมู ‘แดง-น้ำเงิน’ ทนอยู่แบบตบจูบ
นาทีนี้ศึกฝ่ายค้าน-รัฐบาลยังไม่เดือดเท่ากับศึกรัฐบาลด้วยกันเอง แรงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการขบเหลี่ยมของพรรคอันดับ 1 และพรรคอันดับ 2