'โรม'ชี้รักษาตัวนอกเรือนจำ 'สิ่งที่ทำไม่ใช่แค่เลือกปฏิบัติ'

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจเกิน 120 วันว่า กรณีของนายทักษิณ และระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ มีความสำคัญของกฎหมายในแง่ความยุติธรรม

ปัญหาคือ 1.ระเบียบที่ออกโดยกระทรวงยุติธรรมอาจทำให้นำไปสู่การเกิด "นักโทษวีไอพี" เป็นจำนวนมาก เพราะถ้าไปดูในระเบียบ มีการให้อำนาจกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในการพิจารณาสูงมาก ซึ่งในเรือนจำมีข้อเท็จจริงบางประเภทที่เรารู้อยู่แล้วว่า มีนักโทษบางส่วนที่ถูกปฏิบัติดีกว่านักโทษคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคให้อยู่ในสถานพยาบาล หรือโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ก็ยังคงเป็นกระบวนการที่ถูกพูดถึงอยู่เป็นเนืองๆ

แต่ถ้าเรามีระเบียบแบบนี้แล้วให้ไป Home Detention หรือการให้จำคุกในบ้าน ถ้าใช้วิธีการหรือขั้นตอนเช่นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปอาจจะมีการติดสินบนเป็นเงินกับทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อให้ตนเองสามารถได้อยู่ในกระบวนการจำคุกในบ้าน ที่อาจจะเป็นบ้านของตัวเอง หรือสถานที่ที่ถูกจัดไว้ให้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้แล้ว จะเป็นการส่งเสริมให้มีการทุจริตคอร์รัปชัน และทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่แตกต่างกันมากขึ้นไปอีก ทั้งยังส่งผลกระทบต่อความไม่เท่าเทียม และอาจจะเกิดนักโทษวีไอพีที่มีติดสินบนมากขึ้น

ยกตัวอย่างในต่างประเทศ ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้กลไกศาลในการดำเนินการเรื่องนี้, ในประเทศอังกฤษมีคณะกรรมการในการดำเนินการ แต่การจะเข้าสู่กระบวนการจำคุกที่บ้านได้นั้นจะต้องมีการติดคุกมาก่อน เนื่องจากการเข้ากระบวนการจำคุกในบ้านมีจุดประสงค์ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านและปรับตัว เช่น เมื่ออยู่ในคุกไปสักพักแล้ว ใกล้ถึงเวลาครบกำหนดรับโทษ ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นจำคุกในบ้านเพื่อให้มีเวลาปรับตัว เนื่องจากโลกในคุกและโลกข้างนอกไม่เหมือนกัน

 “คำถามคือ การจำคุกในบ้านของไทยสะท้อนแนวคิดอะไร ผมว่ามันไม่มีเลย แนวคิดที่ประเทศต่างๆ เขาคิดกัน ความคิดของประเทศไทยคือ สุดท้ายต้องการทำให้เกิดนักโทษวีไอพี ซึ่งนักโทษวีไอพีเหล่านี้ เราต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถได้ประโยชน์จากตรงนี้ และต้องยอมรับด้วยว่ามันไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน อาจจะมีความพยายามในการที่บอกว่า อยากจะแก้ปัญหานักโทษล้นคุก แต่ถามจริงๆ ว่าจะแก้ปัญหาได้จริงๆ หรือเปล่า แล้วคนที่บอกว่านักโทษล้นคุก แต่สุดท้ายได้อภิสิทธิ์ไปอยู่กันนอกคุก เอาเข้าจริงอาจจะมีแค่คนที่มีเงินเท่านั้น ดังนั้น ปัญหาของระเบียบนี้ไม่ใช่แค่เอื้อต่อคุณทักษิณเท่านั้น แต่ปัญหาของระเบียบนี้ยังสร้างหลายมาตรฐานที่ทำให้เกิดการบริหารที่ไม่เป็นธรรมภายในเรือนจำอีกด้วย”

ประเด็นที่สอง เฉพาะตัวนายทักษิณ แน่นอนต้องยอมรับว่าเราอาจจะเคยมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่านายทักษิณไม่เคยได้รับความเป็นธรรม เคยถูกรัฐประหาร ซึ่งเราเข้าใจ แต่ถ้าสุดท้ายการที่นายทักษิณเข้ามาแล้วใช้ความเป็นวีไอพี ก็จะเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ และนำไปสู่การตั้งคำถามว่า "ตกลงแล้วทำไมคุณทักษิณถึงมีอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่าประชาชนคนไทยคนอื่น"

ถ้าพูดในเชิงกฎหมายระเบียบราชทัณฑ์ที่มีรองรับอาจจะไม่ผิด 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องยอมรับว่าการใช้อำนาจหน้าที่ที่ท่านมีตามกฎหมาย ให้ดุลพินิจแก่ท่านไปในลักษณะที่ทำให้นายทักษิณไปอยู่ที่ชั้น 14 ได้ ก็อาจจะมีข้อวิจารณ์ว่า "เป็นการใช้อำนาจแบบเลือกปฏิบัติ" เพราะยังมีนักโทษอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับสิทธิ์แบบเดียวกัน และไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ซึ่งอาจจะมีข้ออ้างว่ามีการป่วย แต่เรารับรู้ว่านักโทษจำนวนมากที่ล้มป่วย ทั้งโรคผิวหนัง ทั้งปัญหาสุขภาพเรื้อรัง หากเอาตัวเลขมากาง มีนักโทษกี่คนในประเทศที่มีปัญหาสุขภาพแล้วได้รับสิทธิ์ไปอยู่เป็น 120 วันอย่างนายทักษิณ ตนคิดว่าน้อยมาก หรืออาจแทบไม่มีด้วยซ้ำไป มีแค่นายทักษิณที่ได้ในลักษณะแบบนี้แล้วไปอยู่ในชั้น 14 ซึ่งเป็นห้องพิเศษ ไม่ใช่ห้องผู้ป่วยรวม

ดังนั้น ในวันนี้ต้องยอมรับว่านายทักษิณไม่ได้ผ่านกระบวนการอยู่ในเรือนจำแบบที่นักโทษปกติโดนกันด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อมีกระบวนการเช่นนี้ก็เป็นอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่ต้องฟังความเห็นจากแพทย์ผู้ดูแล ซึ่งอาจอ้างได้ว่ามีปัญหาสุขภาพ อ้างว่าต้องพักรักษาตัว ตนเข้าใจ แต่อำนาจของรัฐมนตรีที่ต้องได้รับรายงานกลับมาจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์อยู่แล้วเมื่อครบ 120 วันนั้น แม้รัฐมนตรีอาจจะไม่ได้มีอำนาจไปห้าม แต่รัฐมนตรีมีอำนาจกำกับบริหารงานทั่วไป ได้มีการคุยกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์หรือไม่ว่า การที่ปล่อยให้คุณทักษิณไปอยู่ชั้น 14 ในลักษณะแบบนี้ แม้จะไม่ได้ขัดแย้งในทางกฎหมายแบบชัดแจ้ง แต่การทำแบบนี้อาจจะส่งผลต่อการเลือกปฏิบัติ และทำให้กระบวนการยุติธรรมขาดความน่าเชื่อถือ ซึ่งรัฐมนตรีมีหน้าที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมน่าเชื่อถือ

 “รัฐมนตรีทำอะไร วันนี้เรายังไม่ได้เห็นการชี้แจงที่เป็นรูปธรรม เป็นการบ่ายเบี่ยงที่ทำให้ความน่าเชื่อถือ และศรัทธาของกระบวนการยุติธรรมพังทลายลง ผมเข้าใจว่าคุณทักษิณอายุเยอะ แต่ต้องยอมรับว่าพฤติการณ์ก่อนหน้านี้ คุณทักษิณแกดูเป็นคนที่สุขภาพดีมาก ตอนที่กลับมาประเทศไทยยังลุกนั่งในการกราบได้ แต่อยู่ๆ คุณทักษิณล้มป่วยโดยไม่มีสาเหตุ มีความเป็นไปได้สองทางคือ 1.เรือนจำเราคงห่วยมาก เมื่อถึงปุ๊บอาจจะมีโรคไวรัสพิเศษที่เป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ จนทำให้คุณทักษิณที่กลับมาจากต่างประเทศ อยู่ที่สนามบินยังดีๆ อยู่เลย แต่อยู่ๆ ก็ล้มป่วยกะทันหัน โดยไม่มีเวลาที่จะเข้าไปในเรือนจำเลยแม้แต่น้อย 2.เป็นทริกทางการเมืองที่ต้องการทำให้ตัวเองได้รับสิทธิพิเศษ จากประสบการณ์ที่ผมเคยอยู่ในเรือนจำ พูดกันตรงๆ ผมเคยเห็นนักโทษวีไอพีบางคนคุยกันเรื่องนี้ ทั้งอยู่ที่สถานพยาบาล หรือโรงพยาบาล คำถามคือ จะยอมรับความจริงกันไหม หรือจะใช้ทริกทางการเมืองเพื่อช่วยเหลือคนคนเดียว โดยที่ไม่ได้สนใจว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นยังไง”

ผมเข้าใจว่านายทักษิณซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะผ่านกระบวนการหลายๆ อย่างที่อยุติธรรมบ้าง ยุติธรรมบ้าง แต่ถ้าเราต้องการแก้ปัญหาทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น ต้องการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมที่นายทักษิณจะได้รับ สิ่งที่เราต้องทำคือ ไม่ใช่แค่เลือกปฏิบัติเพื่อนายทักษิณคนเดียว แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ เราต้องมองมวลรวมของระบบ เพราะยังคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก ไม่ใช่แค่นักโทษทางการเมือง ถ้าคุณต้องการแก้ปัญหานักโทษล้นคุก ยังมีวิธีการที่อาจจะต้องย้อนกลับไปที่ศาลว่า การที่ศาลตัดสินโดยใช้ยี่ต๊อก หรือบัญชีกำกับการใช้ดุลพินิจของศาลในเรื่องต่างๆ และระเบียบของศาลที่ขาดความยืดหยุ่นในการให้ปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ศาลได้มีการดำเนินการอย่างไร ซึ่งวิธีการทั้งหมดที่กำลังทำอยู่ไม่ได้นำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องการช่วยคลี่คลายปัญหานักโทษล้นคุก แต่คือการช่วยนักโทษวีไอพีบางคนให้มีที่จำคุกที่สุขสบายกว่าที่ผ่านมาเท่านั้นเอง

เมื่อถามถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่านายทักษิณไม่เข้าข่ายนักโทษร้ายแรง จึงได้รับสิทธิ์ตามระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ เนื่องจากมีโทษจำคุกเหลือน้อยกว่าหนึ่งปี

นายรังสิมันต์ บอกว่า จะร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง ตนไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้ดูรายละเอียดว่ามีเกณฑ์อย่างไร แต่ต้องยอมรับว่านายทักษิณได้รับการอภัยโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี ดังนั้นต้องมาดูว่าเวลาที่นับคือนับจากตอนไหน แต่เข้าใจว่ากฎหมายความมั่นคงซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายที่มีอัตราโทษค่อนข้างร้ายแรง อย่างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีอัตราโทษถึง 7 ปี ตนไม่แน่ใจว่า เรานิยามคำว่า "ร้ายแรง" มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่มันร้ายแรงที่สุดคือ ความไม่เป็นธรรมของระบบกฎหมายที่บังคับใช้กับประชาชนอย่างไม่เท่าเทียม

 “ผมคิดว่าผู้ที่เป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะรัฐมนตรียุติธรรม อย่างนายทวี สอดส่อง ต้องใช้อำนาจของตนเองให้เป็นไปในลักษณะที่ทำให้เกิดความยุติธรรมต่อประชาชนทุกคน ถ้ามีการเลือกปฏิบัติก็ต้องมีการแก้ไขจัดการ ตัวท่านเองอาจจะไม่ได้มีอำนาจในการสั่งการ ท่านอาจจะไม่ได้มีอำนาจในทางแพทย์ที่จะไปวินิจฉัยโรค ท่านอาจจะไม่ได้มีอำนาจในการอนุญาตให้คุณทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่เมื่อท่านได้รับรายงานจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผมเชื่อว่าต้องทำอะไรซักอย่าง ท่านมีอำนาจในการกำกับให้ทุกองคาพยพของกระทรวงยุติธรรมดำเนินการให้ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่แค่ชอบด้วยกฎหมาย แต่รวมไปถึงการทำให้ประชาชนมีศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมด้วย เราต้องยอมรับว่ากรณีคุณทักษิณอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น”

เมื่อถามถึงการลงพื้นที่ของคณะกรรมธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 12 ม.ค.2567 จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่

นายรังสิมันต์ บอกว่า ผมไม่รู้ว่าเขาจะให้เข้าหรือเปล่า ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าถึงเวลานั้นแล้ว สถานะของคุณทักษิณจะเป็นอย่างไร จะยังอยู่ที่เดิมไหม เพราะทุกอย่างก็ดูพร้อมในการช่วยเหลือคุณทักษิณหลากหลายประการ นี่คือสิ่งที่เราไม่อาจทราบได้

"ผมก็อยากให้สังคม รวมถึงหน่วยงานราชการ อย่าไปคิดว่าเอาตัวเข้าแลกแล้วจะคุ้มอย่างไร เรื่องนี้มีปัญหาแน่นอน และอย่าไปคิดว่าการเสียสละอะไรต่างๆ สุดท้ายจะคุ้มค่าต่อการแลกกับตำแหน่งราชการ หรือแลกกับชื่อเสียงของความเป็นข้าราชการเลย ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วกรณีนี้เป็นกรณีที่สองมาตรฐานจริงๆ มันมีปัญหาแน่นอน ระเบียบดังกล่าวที่ออกมาก็ต้องยอมรับว่าเป็นระเบียบที่อาจจะเอื้อไม่ใช่แค่กับคุณทักษิณ แต่เหมือนการขี่ช้างจับตั๊กแตน แม้ทางรัฐบาลคงหวังช่วยคุณทักษิณ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นคือจะเกิดนักโทษวีไอพีมากขึ้น ทำให้สุดท้ายแล้วไม่คุ้มกันกับความยุติธรรมที่เสียไป ดังนั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้เราคงยอมไม่ได้ ที่จะปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีผู้รับผิดชอบอะไร”

หลายขั้นตอนถ้าเทียบระหว่างนายทักษิณกับนักโทษปกติ หรือแม้แต่นักโทษทางการเมืองที่โดนตัดสินด้วยอัตราโทษที่ร้ายแรงมาก โดยที่มีความผิดจากแค่ความคิดที่เห็นต่างเท่านั้นเอง อย่าง น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกล ก็ถูกตัดสินลงโทษ 6 ปี และไม่ได้รับการอภัยโทษอะไรทั้งนั้น จากการโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์แค่สองทวีต ดังนั้น ตนคิดว่าเมื่อมององค์รวมของความยุติธรรมวันนี้ของเรามีปัญหามากๆ จนอยากจะเตือนสติผู้มีอำนาจว่า อย่าทำแบบนี้เลย ตนว่าทำให้มันถูกต้องแล้วถ้าท่านอยากจะใช้ หรือแก้ไขปัญหาในเรื่องความอยุติธรรม ที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรได้รับ เรามาช่วยกันทำ และเราสามารถทำได้ ตนคิดว่ามีกระบวนการทางออกที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้รับความชอบธรรมทางการเมือง ทางสังคม และได้รับการตอบรับจากประชาชนอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่สนระบบกฎหมาย ไม่สนใจในมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม ถ้าทำแบบนั้น เราก็แทบจะไม่มีความยุติธรรมที่น่าเชื่อถืออีกต่อไป

เมื่อถามว่ากรณีนี้จะเป็นประเด็นที่นำไปสู่การทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่

นายรังสิมันต์ บอกว่า นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ในการที่จะต้องควบคุมกำกับดูแลรัฐมนตรีของตัวเอง แม้ว่านายทวีจะมาจากต่างพรรค แต่นายเศรษฐาก็มีหน้าที่ที่จะต้องกำกับดูแล

ถ้ามีการใช้อำนาจหน้าที่ที่มีลักษณะของการระบบทำลายกระบวนการยุติธรรมแบบที่เป็นอยู่ ถามว่าคุณเศรษฐามีความรับผิดชอบทางการเมืองหรือไม่ ตนขอบอกว่า ไม่มี ถามว่านายกฯ ไม่รู้หรือ ก็ไม่ได้ คุณไม่รู้ไม่ได้ เพราะคุณเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น เมื่อเรื่องปรากฏแบบนี้ มีการพูดถึงในวงกว้างในสังคมขนาดนี้ นายกรัฐมนตรีรู้แน่นอน ถ้านายกรัฐมนตรีนิ่งเฉย คุณก็มีความผิด คำถามคือ จะผิดทางการเมืองอย่างเดียว หรือจะผิดทางกฎหมายด้วย ก็ต้องไปว่ากันอีกครั้งในทางกฎหมาย ว่าอาจจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

แต่ในทางการเมืองแน่นอนว่าก็คงต้องมีความรับผิดชอบทางการเมืองตามมา ส่วนจะรับผิดชอบแค่ไหน เป็นหน้าที่ของสภาที่จะต้องดำเนินการ แต่ไม่ว่าจะใช้กลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะนำไปสู่การถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งหลังจากไม่ได้รับความไว้วางใจก็แล้วแต่ ก็ต้องยอมรับว่าไม่ง่าย เพราะสุดท้ายเป็นเรื่องของการที่จะต้องใช้มือในการโหวต ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เจอในหลายๆ กรณี ที่เรายังทำไม่สำเร็จ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรณีเช่นนี้ที่ปรากฏขึ้น ตนคิดว่าถ้ารัฐบาลอยากแก้ไข ยังมีเวลาในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกในเรื่องความไม่เท่าเทียมของกระบวนการยุติธรรม "ผมเชื่อว่าคุณเศรษฐายังพอมีเวลาอยู่บ้าง แต่จะทำไหม"

เมื่อถามถึงการประเมินสถานการณ์การเมืองไทยภายหลังที่นายทักษิณพ้นโทษ

นายรังสิมันต์ บอกว่า ไม่อยากทำนายเยอะ แต่ผมเชื่อว่าคุณทักษิณก็คงไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆ แน่นอน แต่จะมีผลแค่ไหน ตอบยากมาก ไม่อยากประเมินมาก เพราะในช่วงที่คุณทักษิณมีบทบาทค่อนข้างมาก

"ต้องยอมรับว่าผมยังไม่ได้อยู่ในแวดวงทางการเมือง ดังนั้น ผมว่าให้ท่านที่เป็นกูรูทางการเมืองช่วยกันประเมินดีกว่า แต่แน่นอนว่าต้องเฝ้ามองเรื่องนี้กันต่อไป".

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ทักษิณ' แถลงนโยบายรัฐบาล การเมือง-ทุนปึ้ก-ประชาชนอยู่ไหน?

เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา เสมือนเป็นภาพชัยชนะของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ นับตั้งแต่บินกลับมารับโทษในไทยเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่ 22 ส.ค. 2566

ชัยชนะยกแรก“ทักษิณ” บ้านป่าฯแตก-ผู้เฒ่ากระอัก

พลิกสถานการณ์กลับมาชนะสำหรับ “นายใหญ่เพื่อไทย”-ทักษิณ ชินวัตร หลังจาก “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯ ถูกสอยปมตกเก้าอี้ จากการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ในเรื่องความซื่อสัตย์และจริยธรรม

‘ประชาธิปัตย์’เจ็บ-ไม่จบ ฝันค้าง(ยัง)ไร้เทียบเชิญ

ซูฮกพรรคเพื่อไทย!!! โยนโจทย์ให้แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลเคาะชื่อกันเอง และมีคำสั่งพิเศษไม่เอา “วงษ์สุวรรณ” ร่วมรัฐบาล เล่นเอาพรรคการเมืองอื่นวุ่นวาย โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์โดนหางเลขไปกับเขาด้วย ที่เห็นเป็นเอกภาพสุด คือพรรคภูมิใจไทยไร้รอยต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน

'รังสิมันต์' เหน็บ 'ทักษิณ' ให้สัมภาษณ์เหมือนเป็นนายกฯเอง ชี้เสถียรภาพรัฐบาลมีปัญหา

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีความแตกแยกในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจทำให้ สส.ในพรรคฝั่งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาเป็นฝ่ายค้าน ว่า ต้องรอดูความชัดเจน เพราะฝ่ายค้านเลือกไม่ได้

'รังสิมันต์' โต้ยิบ! ตุลาการศาลรธน. บอกพรรคประชาชนต้องขอบคุณเพราะยุบถึงได้เงินบริจาค 20 ล้าน

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุ ‘พรรคประชาชนควรขอบคุณที่ยุบพรรค เพราะทำให้เงินบริจาคเพิ่มขึ้น 20-30 ล้านบาท’ ว่า ต้องบอกว่าการยุบพรรคการเมืองใน พ.ศ.นี้ ไม่มีสังคมไหนยอมรับ

‘ธรรมนัส’ สิ้นสุดทาง ‘ลุง’ พปชร.ไม่มีอะไรเหมือนเดิม

‘พรรคพลังประชารัฐ’ จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว แทบจะเป็นครั้งแรกที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ใช้คำพูดเชือดเฉือนใส่ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หลังรู้ว่าตัวเองหลุดจากรายชื่อคณะรัฐมนตรี