แรงกระเพื่อมทางการเมืองภายในพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดยเฉพาะกับการที่จะมี
เลือดไหลออก-ทัพแตก ภายในพรรคปชป.หลังจากนี้
คือประเด็นที่ต้องติดตาม หลัง เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ เข้ามายึดกุมสภาพภายในพรรค ปชป.ไว้หมด ทั้งการขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคด้วยตัวเอง ไม่ดันนราพัฒน์ แก้วทอง อย่างที่เคยวางตัวไว้ตอนแรก
ส่วนกรรมการบริหารพรรค ปชป.ชุดใหม่ สแกนที่มาที่ไปของแต่ละคน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นสายเฉลิมชัย และเครือข่าย “มือขวา-มือซ้าย” ของเฉลิมชัย คือ เดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา และเลขาธิการพรรค ปชป.คนใหม่ ที่ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค โดยเป็น สส.แค่สองสมัย และ เดอะแทน ชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ที่ก็เป็น สส.มาแค่สองสมัยเช่นกัน
เช่นเดียวกับ สส.ปชป. ก็ขึ้นตรงอยู่กับขั้วเฉลิมชัยเกือบทั้งหมด ร่วม 21 คน จาก 25 คน
จึงทำให้คนที่อยู่คนละขั้วกับกลุ่มเฉลิมชัย หรือรับไม่ได้กับการที่กลุ่มเฉลิมชัยขึ้นมายึดกุมพรรค ปชป.แบบเบ็ดเสร็จ ย่อมต้องคิดแล้วว่า จะอยู่กับพรรคต่อไป หรือจะหาบ้านหลังใหม่ เพราะหากอยู่พรรค ปชป.ต่อไป แล้วอึดอัดใจ-ไร้ที่ยืน ก็ย่อมต้องเตรียมแยกทางกับพรรค ปชป. เพียงแต่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเท่านั้นเอง
ก็เหมือนกับที่ เทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. ที่เป็นอดีตตัวตึงของพรรค ปชป. แสดงความเห็นแบบฟันธง หลังจากนี้จะมีเลือดไหลออกจากพรรค ปชป.ตามอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ลาออกจากสมาชิกพรรค ปชป.
“จะมีสมาชิกอีกหลายคนที่ทยอยลาออกจากสมาชิกพรรคตามคุณอภิสิทธิ์ไปอย่างแน่นอน” (เทพไท เสนพงศ์ 10 ธ.ค.)
โดยที่ออกจากพรรค ปชป.ไปพร้อมๆ กับ อภิสิทธิ์ เมื่อ 9 ธ.ค. แต่รายนี้ดูแล้วคงออกจากพรรคแบบหาบ้านหลังใหม่ทางการเมือง ที่จะไม่เหมือนกับอภิสิทธิ์ ที่บอกว่าแม้ลาออกจากพรรค ปชป. แต่เลือดยังเป็นสีฟ้าจนวันตาย จะไม่ไปอยู่พรรคไหน แต่สำหรับรายนี้ คือ สาธิต ปิตุเตชะ อดีตรองหัวหน้าพรรคภาคกลาง-อดีต สส.ระยอง-อดีต รมช.สาธารณสุข ที่รู้กันดีว่า เป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทในการคอยเดิมเกมทางการเมือง จนทำให้การประชุมใหญ่พรรค ปชป. ล่มกลางคัน มาถึงสองครั้งติดกันก่อนหน้านี้ เพื่อจะดันอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ให้ได้ แต่ไม่สำเร็จ จนทำให้ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรค ปชป.ทันที หลังอภิสิทธิ์ ประกาศลาออกจากพรรค
ประเมินแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ กลุ่มบ้านใหญ่ ระยอง-ปีกตะวันออก ของสาธิต น่าจะย้ายไปอยู่กับ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่พรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งรอบหน้า เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า อนุทินกับสาธิตมีความสนิทสนมกันมาก ตอนทั้งสองคนเป็นรัฐมนตรีอยู่กระทรวงสาธารณสุขมาด้วยกัน 4 ปี ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนการเลือกตั้งปี 2566 ช่วงเตรียมเลือกตั้ง ที่นักการเมือง-กลุ่มการเมืองต่างๆ วิ่งเข้าพรรคภูมิใจไทยจำนวนมาก
ช่วงนั้น มีกระแสข่าวว่า บ้านใหญ่ปิตุเตชะ-ระยอง จะย้ายเข้าภูมิใจไทย ผ่านความสัมพันธ์อันดีของอนุทิน-สาธิต รวมถึงตัว นายกช้าง-ปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง พี่ชายของสาธิต ก็เคยเป็น สส.ระยอง พรรคชาติไทย กลุ่ม 16 ที่มีหัวหน้ากลุ่มคือ เนวิน ชิดชอบ ผู้มากบารมีของภูมิใจไทย ทำให้บ้านใหญ่ระยองกับเนวิน ใช่คนอื่นไกล
แต่สุดท้าย สาธิตก็เลือกที่จะอยู่กับพรรคปชป.ต่อไป แต่เมื่อสถานการณ์ภายในพรรคปชป.เป็นแบบนี้ และสาธิตประกาศลาออกจากพรรคแล้ว ทำให้โอกาสที่กลุ่มระยอง-ตะวันออกของบ้านใหญ่ปิตุเตชะ จะย้ายเข้าภูมิใจไทย ย่อมอาจเกิดขึ้นได้
แม้ว่าจริงอยู่ ผลการเลือกตั้ง 2566 ที่ผ่านมา เครดิตการเมืองของ สาธิต-บ้านใหญ่ระยอง จะเสียไปพอสมควร
หลังพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง สส.เขตระยองยกจังหวัด ทำให้ กลุ่มบ้านใหญ่ระยอง ที่ส่งคนในตระกูลลงสมัคร สส.เขตถึง 4 คนจาก 5 เขต คือ พศิน ปิตุเตชะ เขต 1-สาธิต เขต 2-ธารา ปิตุเตชะ เขต 4-ฉัตรชัย ปิตุเตชะ เขต 5 แต่สุดท้าย สอบตกหมด อีกทั้งตอนเลือกตั้งซ่อม สส.ระยอง บัญญัติ เจตนจันทร์ อดีต สส.ระยอง พรรค ปชป. ลูกทีมของสาธิต ก็แพ้ก้าวไกลแบบขาดลอย
กระนั้น การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน วันหน้า กระแสก้าวไกลในภาคตะวันออกและระยอง อาจจะตกลงกลุ่มบ้านใหญ่ระยองของสาธิต อาจจะกลับขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ ผนวกกับสาธิตก็ยังอายุไม่มาก ยังมีเวลาคัมแบ็กกลับมาได้ โดยหากกลุ่มบ้านใหญ่ระยองออกจากพรรค ปชป. ก็คงมีผลกับเรื่องการทำพื้นที่ในภาคตะวันออกของพรรค ปชป.พอสมควร
นอกจากนี้ ต้องจับตามาดามเดียร์ วทันยา บุนนาค หลังอกหัก ไปไม่ถึงรอบสุดท้าย ชิงหัวหน้าพรรค ปชป. เพราะโดนบล็อกสกัด ตั้งแต่ด่านแรก ไม่สามารถเข้าชิงหัวหน้าพรรคได้ เพราะเสียงโหวตรับรองเพื่อยกเว้นข้อบังคับกรณีเป็นสมาชิกพรรคไม่ถึง 5 ปี ปรากฏว่า เสียงรับรองไม่ถึง ทำให้มาดามเดียร์ตกม้าตายตั้งแต่รอบแรก ทำให้เชื่อได้ว่า มาดามเดียร์มีแนวโน้มโบกมือลาประชาธิปัตย์ แบบน้ำตาตกใน
ส่วน สรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรค ปชป. ลูกชายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. ที่เป็น 1 ใน 4 สส.ของพรรค ที่อยู่คนละกลุ่มกับขั้วเฉลิมชัย ก็ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
“สจฺจํ เว อมตา วาจา. คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย” คำขวัญที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..วันนี้คงเป็นอีกหนึ่งวันที่ชาวประชาธิปัตย์หลายๆ คน รวมถึงตัวผมเองต้องคิดทบทวนบทบาทของตัวเองอีกครั้ง”
แต่ดูทรงแล้ว สรรเพชญคงไม่ขยับอะไร จะอยู่กับกลุ่มชวนและพรรค ปชป.ต่อไป เพียงแต่ก็ทำให้ภาพความขัดแย้งของคนในพรรค ปชป.ที่แบ่งเป็นสองขั้ว เด่นชัดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองในอีกมุมหนึ่ง ด้วยการที่ สส.ปชป.เวลานี้ ที่ส่วนใหญ่คือ 21 คน เป็นกลุ่มเฉลิมชัย ทำให้หากคนที่จะออกจากพรรค ปชป.ไป หรือจะออกในอนาคต ก็จะเป็นพวกอดีต สส.-อดีตผู้สมัคร สส.-ผู้สนับสนุนพรรค
ที่กลุ่มเฉลิมชัยอาจไม่แคร์ เพราะมองว่า เป็นพวกสอบตก-หุ้นการเมืองตก ไปหาคนอื่นมาเข้าพรรคแทนได้ หรือไม่ก็อาจใช้วิธี รอให้ฝุ่นหายตลบ รอการเมืองภายในพรรคนิ่งๆ ก่อน จากนั้นค่อยเคลียร์ใจกันแบบรายบุคคล โดยเอาเรื่องการกอบกู้พรรค การประสานใจกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อร่วมกันทำให้พรรคปชป.กลับมาอีกครั้งในการเลือกตั้งรอบหน้า มันก็อาจทำให้เลือดไม่ไหลออกในช่วงนี้ก็ได้ ถ้าเคลียร์ใจกล่อมสำเร็จ
เพราะว่าไปแล้ว ใครลาออกจากพรรคปชป.ไปช่วงนี้ ก็ไม่ได้อะไร เพราะกว่าจะเลือกตั้งก็อีกนาน และอนาคตข้างหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยกเว้นแต่ว่าบางคนลาออกแล้วมีที่ใหม่รองรับ
เหมือนอย่างเช่นตอนที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อกหักจากการชิงหัวหน้าพรรคปชป. เพราะแพ้จุรินทร์ ก็ลาออกจากพรรคปชป.ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ พลเอกประยุทธ์ ไปอยู่กับพลังประชารัฐ ช่วงสั้นๆ ต่อมา ก็ไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ-เป็นหัวหน้าพรรค ขยับเป็นเลขาธิการนายกฯ ก่อนเลือกตั้ง จนตอนนี้ เป็นรองนายกฯ-รมว.พลังงาน ซึ่งถ้าคนในพรรค ปชป. มีที่ทางที่ดีกว่า ลาออกแล้วรุ่งแบบพีระพันธุ์ เชื่อได้ว่า ไม่อยู่แน่ แต่ถ้ายังไม่มี ก็อาจจะอยู่กับพรรคปชป.ไปก่อน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อิ๊งค์’สะกดอารมณ์ฝ่าซักฟอก2วัน รอลุ้นคะแนนโหวต-งูเห่าสมทบ!
ผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ใช้เวลา 2 วัน 24-25 มีนาคม ก่อนลงมติวันนี้ 26 มีนาคม 2568 ซึ่งลีลาของ “นายกฯ อิ๊งค์” ในการแจงข้อซักฟอกถือว่าสามารถสะกดอารมณ์ได้ดี ไม่ปล่อยหมัดเด็ดตรงๆ ใส่ฝ่ายค้าน แต่ใช้ความนิ่งตอบเจ็บๆ ในบางช่วงเช่นกัน
‘ฝ่ายค้าน’ซักฟอก‘นายกฯอิ๊งค์’ ขยายแผล ปูทาง ยื่น 'ป.ป.ช.'
เปิดฉากกันไปแล้ว ศึกซักฟอก อุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้คอนเซปต์ ‘ดีลแลกประเทศ’ วันแรก ไฮไลต์สำคัญ ช่วงเช้าหนีไม่พ้นการเปิดหัวของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และการลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ระเบิดศึกซักฟอก ดีลแลกประเทศ ขยี้"นายกฯอิ๊งค์"ขย้ำ"ทักษิณ"
หลังการเมืองไทยว่างเว้นจากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจมาร่วม 2 ปีเศษ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ค.2565 ตอนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาวันนี้สิ้นสุดการรอคอยกับศึกซักฟอก-เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ซักฟอก ‘ดีลแลกประเทศ’ ฟ้องสังคม ‘ชินวัตร’ ได้อะไร
จับตาอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม ตั้งแต่เช้าจนถึงตี 5 และลงมติในวันที่ 26 หรือ 27 มีนาคมนี้ ภายใต้ธีม
สแกนข้อมูล‘ฝ่ายแค้น’ แตกหักหรือแบล็กเมล
นอกจากบทบาทของพรรคประชาชน (ปชน.) ในการซักฟอกระหว่างวันที่ 23-24 มี.ค. ต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้ธีม “ดีลแลกประเทศ” ว่า สุดท้ายจะทำหน้าที่สมศักดิ์ศรีหรือไม่
โหมโรงศึกซักฟอก “ดีลแลกประเทศ”
ภายหลังที่ประชุม ‘วิป 3 ฝ่าย’ ได้ข้อยุติกรอบเวลาใน ‘การอภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ทั้งหมด 37 ชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 24 มี.ค. แบ่งเป็น ฝ่ายค้าน 17 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลรวมกับคณะรัฐมนตรี 3.5 ชั่วโมง และประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 21.5 ชั่วโมง คาดว่าหากมีการเริ่มอภิปรายในเวลา 08.00 น. จะเลิกในเวลา 05.30 น. ของวันที่ 25 มี.ค.