อุ๊งอิ๊งรัศมีกลบมิดเศรษฐา พท.สลัดยาก "พรรคชินวัตร"

งานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่ ระหว่าง 6-7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรัฐมนตรี-แกนนำพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

สิ่งที่เห็นตามที่ปรากฏเป็นข่าวออกมา ทั้งจากวงสัมมนาใหญ่และวงพูดคุยวงเล็กที่มีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 10 กลุ่ม มี 2 จุดใหญ่ที่น่าสนใจ

เรื่องแรก สส.-อดีต สส.ของเพื่อไทย ส่งเสียงสะท้อน ต้องการให้พรรคเพื่อไทยกลับมาชนะเลือกตั้งอีกครั้ง เป็นพรรคการเมืองที่มีเสียง สส.มากที่สุดในสภาฯ

หลังที่ผ่านมาเพื่อไทยชนะเลือกตั้งมาตลอด นับแต่ยุคไทยรักไทย-พลังประชาชน จนมาถึงเพื่อไทย ที่ชนะทั้งเลือกตั้งปี 2544, 2548, 2550, 2554, 2562 เพิ่งมาแพ้เลือกตั้งครั้งแรก เมื่อ 14 พ.ค.2566 ให้กับพรรคก้าวไกล จนทำให้ต้องรอให้ก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพื่อไทยถึงค่อยมารับไม้ต่อ จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แลกกับการเปลี่ยนขั้วการเมือง

 ที่ว่ากันตามสภาพ พรรคเพื่อไทยมีโอกาสจะทำได้ กลับมาชนะเลือกตั้งอีกรอบ เพราะการกุมอำนาจรัฐเป็นรัฐบาลเวลานี้ ที่เชื่อว่าเพื่อไทยต้องการลากให้อยู่ครบเทอม 4 ปีแน่นอน โดยใช้ช่วงการเป็นรัฐบาลผลักดันนโยบาย สร้างผลงานให้โดนใจประชาชน มันก็เรียกคะแนนเสียงทางการเมืองได้ไม่ยาก

อีกทั้งถ้ารัฐบาลเพื่อไทยบริหารประเทศแบบมีประสิทธิภาพ ไม่มีข้อครหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อนเอื้อพวกพ้อง สันหลังไม่เหวอะ ไม่มีแผล ก็ทำให้โอกาสที่เพื่อไทยจะกลับมาชนะเลือกตั้ง มี สส.มากกว่าก้าวไกลก็ยังมีความเป็นไปได้สูง

จุดที่ 2 คือ เสียงสะท้อนของ สส.เพื่อไทย ที่ต้องการให้ฝ่ายบริหารคือฝ่ายรัฐบาล ไล่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีของเพื่อไทย ควรเข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับ สส.ให้มากขึ้น เพื่อลดช่องว่าง ระหว่างฝ่ายนายกฯ และรัฐมนตรีกับ สส.ของพรรค

เห็นได้จากเสียงสะท้อน ความในใจของ สส.เพื่อไทย ที่สื่อสารออกมาว่า “อยากให้ นายกฯ รับสายโทรศัพท์ของ สส.เพื่อไทยที่โทร.ไปหานายกฯ ด้วย

ที่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางการเมืองระหว่างเศรษฐากับ สส.เพื่อไทย ซึ่งก็คงไม่ใช่มีแต่นายกฯ เท่านั้น แต่เชื่อว่าคงมีรัฐมนตรีอีกบางคนที่แม้จะเป็น สส.ควบรัฐมนตรี แต่มีระยะห่างกับ สส.ของเพื่อไทย ที่ต้องการสะท้อนปัญหาในพื้นที่หรือบอกเล่าความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพื่อหวังให้นายกฯ หรือรัฐมนตรีของพรรคใช้กลไกอำนาจรัฐเข้ามาช่วยเหลือ จะได้เป็นเครดิตของ สส.เพื่อไทย ว่าสามารถต่อสายหานายกฯ และรัฐมนตรี จนทำให้แก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว แต่พอ สส.สื่อสารกับนายกฯ-รัฐมนตรีไม่ได้ ก็เลยเกิดปัญหา ช่องว่างทางการเมืองระหว่างกัน จนทำให้ สส.ต้องใช้พื้นที่งานสัมมนาพรรคส่งเสียงดังกล่าวสะท้อนออกไป

ที่ย่อมทำให้เศรษฐาต่อจากนี้คงต้องปรับบุคลิกตัวเองให้ใกล้ชิดกับฝ่ายการเมือง พวก สส.ของเพื่อไทยให้มากขึ้น

 แม้ที่ผ่านมาจะพบว่า เศรษฐามักจะไปร่วมประชุม สส.เพื่อไทยบ่อยครั้ง แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐามักจะไปร่วมประชุมพรรคในวันที่รู้ว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ไปร่วมประชุมด้วย แต่เมื่อมีเสียงสะท้อนออกมาจาก สส.เพื่อไทยแบบนี้ คงทำให้ตัวเศรษฐาอาจต้องปรับตัว เช่น อาจจะต้องไปร่วมประชุม สส.เพื่อไทยในวงต่างๆ ให้มากขึ้น เช่น วงประชุม สส.รายภาค ที่จะประชุมกันก่อนประชุม สส.เพื่อให้มีความใกล้ชิดกับ สส.แต่ละภาค-แต่ละจังหวัดมากขึ้น รวมถึงอาจต้องมีการนัดคุยนอกรอบ นัดกินข้าวกับ สส.เพื่อไทยแต่ละกลุ่ม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการเมืองให้แนบแน่นขึ้น

เพราะที่ผ่านมามีข่าวว่า เศรษฐาเวลามาประชุม สส.เพื่อไทย ยังจำชื่อ สส.ของเพื่อไทยได้แค่ไม่กี่คน จากที่มีอยู่ร่วม 141 คน โดยมีเสียงร่ำลือกันทั่วพรรคเพื่อไทยว่า หลายครั้งเวลามี สส.เพื่อไทยจำนวนมากเข้าไปทักทาย พูดคุยกันหลายนาที เพราะตัว สส.นึกว่าเศรษฐาจำชื่อตัวเองและจังหวัดที่เป็น สส.ได้ แต่มารู้ทีหลังว่า พอคุยกันเสร็จ หลังจากนั้นเศรษฐาจะถามคนใกล้ชิดว่า คนที่มาคุยด้วยเป็นใคร เป็น สส.ที่ไหน เป็นมาแล้วกี่สมัย และจังหวัดดังกล่าวเพื่อไทยชนะเลือกตั้งมากี่คน เป็นต้น

 เรียกได้ว่า ทำเอา สส.เพื่อไทยที่มารู้เรื่องนี้ทีหลัง ถึงกับบ่นเสียความรู้สึก ที่เศรษฐาไม่ทำการบ้าน ไม่สนใจความเป็นไปของคนในเพื่อไทยเท่าที่ควร

แม้ช่วงหลังเศรษฐาที่รู้ตัวดีว่ามีจุดอ่อนในเรื่องความใกล้ชิดกับ สส.เพื่อไทย เลยพยายามปิดจุดอ่อนดังกล่าว โดยใช้รัฐมนตรีของเพื่อไทยบางคนเป็นตัวประสาน-คอยเชื่อมต่อกับ สส.ของเพื่อไทย เช่น “มนพร เจริญศรี สส.นครพนม-รมช.คมนาคม” ที่ให้ช่วยประสาน สส.อีสานของเพื่อไทย หรือภาคเหนือตอนบน-ตอนล่าง ก็มีข่าวว่า ให้ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง-สส.เชียงใหม่ เป็นคนกลางคอยประสานเชื่อมต่อกับ สส.ภาคเหนือของเพื่อไทย เป็นต้น แต่ข่าวบอกว่า สส.เพื่อไทยหลายคนยังไม่ค่อยคลิกกันเท่าไหร่ เพราะต้องการคอนเน็กกับนายกฯ แบบสายตรง ใจถึงใจ ไม่ผ่านคนกลาง

จึงไม่แปลกที่เศรษฐาจะมีช่องว่างทางการเมืองกับคนในเพื่อไทยค่อนข้างมาก

เท่าที่เห็น นอกจาก ชั้น 14 ทักษิณ ชินวัตร และ ตระกูลชินวัตร ที่คอยแบ็กอัพสนับสนุน จนได้เป็นนายกฯ

 สถานภาพของเศรษฐาในพรรคเพื่อไทย เรียกได้ว่าขาลอยอย่างแท้จริง

ทำให้หากวันข้างหน้า ชั้น 14 ต้องการเปลี่ยนตัวนายกฯ เอาอุ๊งอิ๊ง-แพทองธารขึ้นมาเป็นนายกฯ แทน อย่างที่มีกระแสข่าวออกมาตลอด คงทำให้ สส.เพื่อไทยหลายคน สะใจกันไม่น้อย!

ยิ่งเมื่อ สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ส่งสัญญาณชัดๆ กลางวงสัมมนาดังกล่าวว่า เพื่อไทยจะมีนายกรัฐมนตรีผู้หญิงคนที่ 2 แน่นอน ต่อจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ที่ก็หมายถึง อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร มันก็ยิ่งทำให้ ออร่าทางการเมืองของแพทองธาร ยิ่งเด่นชัด

สอดรับกับที่หลายฝ่ายมองว่า ตอนนี้มีพระอาทิตย์ 2 ดวงทางการเมือง ที่ทำเนียบรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

ดวงแรก เศรษฐา ทวีสิน ที่เป็นนายกฯ ประเทศไทย อยู่ตึกไทยคู่ฟ้า

ดวงที่ 2 คืออุ๊งอิ๊ง ที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นั่งอยู่ตึกพรรคเพื่อไทย ที่แม้ไม่ได้เป็น สส. ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี เป็นแค่รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติที่จะมาดูแลการต่อยอดนโยบายบัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่อุ๊งอิ๊งมีบารมี แรงหนุน รัศมีแรงกล้าทางการเมืองเหนือกว่าเศรษฐาอย่างเห็นได้ชัด

ท่าทีดังกล่าวของเลขาธิการพรรคเพื่อไทย จึงยิ่งทำให้ก้าวย่างของแพทองธารที่ขยับทางการเมืองไล่จาก ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย มาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ตามด้วยแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย จนมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ดูแล้วการจะก้าวขึ้นสู่นายกรัฐมนตรีของแพทองธารเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เหลือแค่รอเวลาที่เหมาะสม ลงล็อกเท่านั้นเองว่าจะมาเมื่อไหร่ จะมาในรัฐบาลเพื่อไทยเวลานี้ ด้วยการเปลี่ยนตัวนายกฯ หรือจะมาหลังเลือกตั้งรอบหน้า หากเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

ส่วนที่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร กล่าวปิดสัมมนาพรรคเมื่อ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่บอกว่า

“ครอบครัวของอิ๊งค์ไม่ใช่เจ้าของพรรคเพื่อไทย แต่เราทุกคนคือเจ้าของพรรคเพื่อไทย”

 แต่ทว่าข้อเท็จจริงทางการเมืองอย่างที่หลายคนเห็นกันก็คือ ยังไงทักษิณก็คือหัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริง-ตระกูลชินวัตรคุมทุกอย่างในพรรคเพื่อไทย

 การที่อุ๊งอิ๊งพูดวาทะดังกล่าว กับความเป็นจริงทางการเมือง จึงเป็นเรื่องที่หลายคนเบือนหน้าหนี และคงยากที่เพื่อไทยจะล้างภาพเพื่อไทย-พรรคตระกูลชินวัตรออกไปได้ แม้ที่ผ่านมาเพื่อไทยจะพยายามรีแบรนด์พรรค เพื่อสลัดภาพดังกล่าวมาแล้วหลายรอบ แต่ก็ไม่สำเร็จ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง

ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา

นายกฯอิ๊งค์ ร่วมงานเลี้ยงปีใหม่สื่อทำเนียบฯ รับเป็นคนโผงผาง แต่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมกิจกรรมพบปะสื่อมวลชนสัมพันธ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ 2568 โดยนายกฯมาพร้อมกับ นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี ด.ญ.ธิธาร สุขสวัสดิ์ บุตรสาว และด.ช.พฤจ์ธาษิณ สุขสวัสดิ์ บุตรชาย

“พ่อเลี้ยง”เปลี่ยนสนามรบเป็นทุน “ดับไฟใต้-สันติภาพเมียนมา”

“ฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง” นับเป็นภาพการเมืองในฝ่ายบริหารที่ “วิญญูชน” พึงประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขยับตัวและคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” วิทยากร-นักวิชาการของพรรคเพื่อไทย