การเมืองเอาแต่ได้ พาชาติเสียโอกาส

ความขัดแย้งในบ้านเมือง ผ่านการเล่นการเมืองมุ่งเอาแต่ได้ ที่มุ่งหมายเอาชนะทุกวิถีทาง เพื่อเป้าหมายการมีอำนาจเท่านั้น โดยไม่สนใจความถูกต้อง ผิดชอบชั่วดี 

นอกจากทำให้ประชาชนเสียโอกาสแล้ว ยังทำให้ประเทศชาติติดหล่มความขัดแย้ง ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และทางออกที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์เหล่านี้ 

อย่างเช่นข้อถกเถียงมาตลอดสัปดาห์ หลังภาคประชาชน นักกฎหมาย อดีตผู้พิพากษา องค์กรเครือข่ายต่างๆ สมาชิกวุฒิสภา และนักการเมืองฝ่ายขวา  

ออกมากังขาเรื่อง "มาตรการลดหย่อนโทษและการเลื่อนชั้นนักโทษ" จากกระแสข่าวเรื่องพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษฯ ที่จะมีผู้ต้องขังได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ และได้รับพระราชทานลดวันต้องโทษ  

มีรายงานด้วยว่า ในกลุ่มดังกล่าวมีนักการเมือง, อดีตข้าราชการระดับสูง ที่ถูกศาลพิพากษาในคดีสำคัญ 5 ราย ที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดวันต้องโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2564 รอบ 2 

เช่น กลุ่มนักโทษในคดีทุจริตจำนำข้าว ที่สร้างความเสียหาย 6-7 แสนล้านบาท และรัฐบาลต้องนำภาษีประชาชนมาใช้หนี้แทนถึงทุกวันนี้ 

รวมทั้งสำนักงบประมาณยังจะต้องตั้งงบเพื่อจ่ายหนี้อีกปีละ 10-20% ต่อไปเรื่อยๆ และอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปีถึงจะชำระหนี้โกงจำนำข้าวหมด

อาทิ "ภูมิ สาระผล" อดีต รมช.พาณิชย์ ที่ได้เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ศาลพิพากษาปี 2560 กำหนดโทษ 36 ปี ได้รับอภัยโทษลดวันต้องโทษปี 2564 ในรอบแรก เหลือวันต้องโทษจำคุก 12 ปี ได้รับอภัยโทษลดวันต้องโทษปี 64 ในรอบสอง เหลือวันต้องโทษ 8 ปี จะพ้นโทษ 25 สิงหาคม 2568

"บุญทรง เตริยาภิรมย์" อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ได้เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ศาลพิพากษาปี 2560 กำหนดโทษ 48 ปี ได้รับอภัยโทษลดวันต้องโทษปี 2564 ในรอบแรก เหลือวันต้องโทษจำคุก 16 ปี ได้รับอภัยโทษลดวันต้องโทษปี 2564 ในรอบสอง เหลือวันต้องโทษ 10 ปี จะพ้นโทษ 21 เมษายน 2571  

"อภิชาติ (เสี่ยเปี๋ยง) จันทร์สกุลพร" นักธุรกิจค้าข้าวตัวแสบที่มีคดีความมากมาย และได้เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม โดยศาลพิพากษาปี 2561 กำหนดโทษ 48 ปี ได้รับอภัยโทษลดวันต้องโทษปี 2564 ในรอบแรก เหลือโทษจำคุก 9 ปี ได้รับอภัยโทษลดวันต้องโทษปี 2564 ในรอบสอง เหลือโทษจำคุก 6 ปี 3 เดือน 26 วัน พ้นโทษ 26 ธันวาคม 2566 หรืออีกแค่สองปีนับจากนี้ เป็นต้น 

ประเด็นเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามตัวโตๆ ว่านี่เกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมไทย ตั้งแต่ ป.ป.ช. อัยการ ศาลฎีกาฯ กระทั่งนำตัวคนผิดมาลงโทษได้สำเร็จ   

แต่กลับบ่อนทำลายความรู้สึกของประชาชนด้วยการผ่อนปรน ลดโทษ ตามกฎระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่เป็น "แค่กฎกระทรวง" สวนทางกับรัฐธรรมนูญ 60 ออกมาแก้ปัญหาสำคัญในบ้านเมือง เพื่อป้องกันการปล้นชาติ โกงบ้านโกงเมืองอย่างเช่นในอดีต   

ความสงสัยนี้ตีแสกหน้าไปที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.ยุติธรรม ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ต้องตกเป็นจำเลยสังคมทันที ท่ามกลางกระแสข่าวมีดีลลับกับคนแดนไกลและพรรคเพื่อไทยหรือไม่   

"นายสมศักดิ์" ได้ปฏิเสธประแสข่าวเรื่องนี้ว่าไม่เป็นความจริง “ผมเป็นคนตรงไปตรงมา เรื่องแบบนี้ต้องทำอะไรที่ตรงไปตรงมา” และยืนยันว่าการกระทำทั้งหมดนี้ถูกต้องตามแนวทางที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ศ.2459 จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 105 ปี มี พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษฯ ผู้ต้องขัง 52 ฉบับ

แต่เรื่องไม่ได้หยุดแค่นี้ ยังร้อนไปถึง "พล.อ.ประยุทธ์" ต้องรีบมาลดกระแสความไม่พอใจไม่ให้ลามมาถึงตัวเอง เพราะกลุ่มโต้โผที่ออกมาเรียกร้องในอดีตและปัจจุบัน ล้วนเป็นแนวร่วมสนับสนุนนายกฯ ทั้งสิ้น 

ล่าสุดได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 337/2564 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการอภัยโทษ โดยมีนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อดีตอัยการสูงสุดและประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ รัดกุม โปร่งใส พร้อมข้อเสนอและมาตรการในเรื่องดังกล่าวในอนาคต และและต้องนำเสนอ "บิ๊กตู่" ภายใต้ 30 วัน  

ก็หวังว่าสุดท้ายจะไม่เป็นการซื้อเวลาสังคม เทียบเคียงกรณี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ซึ่งนายกฯ ก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน แต่บัดนี้ยังจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษไม่ได้ ท่ามกลางข้อกล่าวหา คุกมีเอาไว้ขังคนจน และรัฐบาลเสียรังวัดไปเยอะ  

กลับมาที่เรื่องดังกล่าว ในขณะที่สังคมกำลังตื่นตัวและไม่สยบยอมกับเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน แต่ไฉนฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ที่อ้างเล่นการเมืองรุ่นใหม่ ทำการเมืองโปร่งใส กลับเงียบเฉย  

ทั้งที่ควรเป็นโอกาสได้ตรวจสอบและสร้างคะแนนความนิยม เช่น เสนอข้อเรียกร้อง หรือใช้เวทีสภาตั้งกระทู้ถามสด ใช้ กมธ.สามัญฯ ตรวจสอบ และเตรียมเสนอญัตติตั้งคณะกรรมการศึกษา 

แม้กระทั่งเตรียมการอภิปรายแบบไม่ลงมติตาม รธน.มาตรา 152 หรือรอไว้จัดการเมื่อถึงเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจตาม รธน. มาตรา 151 แต่บัดนี้ยังไม่เห็นสัญญาณใด นอกจากจงใจเล่นการเมืองทำสภาล่มเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล 

สันนิษฐานได้ว่า เพราะบุคคลที่ได้ประโยชน์เหล่านี้เป็นเครือข่ายและพวกพ้องของตัวเองใช่หรือไม่  

สรุปคือ เล่นการเมืองเอาแต่ได้ โดยไม่สนใจว่าระบบของประเทศจะเสียหาย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน หรือแม้กระทั่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่รู้ร้อนรู้หนาวบ้างเลยหรือ

เล่นการเมืองที่เอาแต่ได้ มีแนวโน้มที่จะลามต่อไปถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลางปี 65 เพราะไม่ทันไรก็เห็นสารพัดวิชามาร ถือจอบและเสียมออกมาขุดอดีต ทั้งเรื่องจริง เรื่องเท็จ ผสมปนเป นำมาทำลายล้างอีกฝ่ายอย่างเมามัน เข้มข้น  

อย่างที่ ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า สุดท้ายประชาชนจะเลือกแบบ "Strategic vote" หรือคนกรุงเทพฯ อาจจะไม่ได้ผู้ว่าฯ กทม.ตามที่ต้องการ...แต่จะเลือกคนที่คิดว่าจะสามารถเอาชนะคนที่เขาไม่ต้องการให้ชนะการเลือกตั้ง  

 เช่น "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" รมต.ที่แข็งแกร่งสุดในปฐพี ที่เปิดตัวลงอิสระ มาก่อนใคร และมีคะแนนนำโด่งทุกสำนักโพลมาตลอด แต่กำลังถูกเตะสกัด หลังมีความพยายามโยงกับพรรคเพื่อไทยที่มีระบอบทักษิณหนุนหลัง ตั้งคำถามเรื่องความจงรักภักดี สนับสนุนคนเสื้อแดงในการชุมนุมกรุงเทพฯ หรือไม่ และความสัมพันธ์ครอบครัวกับเหตุการณ์ในอดีต 

รวมทั้งน้องใหม่อย่าง "ดร.เอ้" สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่สวมสีเสื้อพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็พลาดท่าถูกจับโป๊ะแตก 

เมื่อมีการยืนยันข้อมูลว่าอาจารย์ที่ตัวเองอ้างเป็นลูกศิษย์เอกที่เอ็มไอที ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่หลานของ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" และไม่ใช่คนไทยเพียงคนเดียวที่เป็นลูกศิษย์ร่วมสถาบันกับอาจารย์คนดังกล่าว 

เรียกได้ว่าถูกฝ่ายตรงข้ามตามขยี้ พร้อมตั้งคำถาม วุฒิภาวะของคนที่จะมาเป็นพ่อเมืองกรุง ชนิดเรียกว่าเสียทรงทางการเมือง และจะต้องดูว่า ปชป.จะแก้เกมนี้ได้หรือไม่ หรือจะล้มทั้งกระดาน เพราะเดินตกท่อเพียงตาเดียว

ขณะที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ที่ยังไม่ประกาศตัวลงชิงตำแหน่ง แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้าตัวปรารถนาจะชิงชัยในนามอิสระ โดยมีทีมงาน "กลุ่มรักษ์กรุงเทพฯ" เป็นจุดแข็งทำงานแก้ปัญหาในเมืองกรุงอย่างเร่งด่วน 

แต่ก็ถูกทำลายล้างเพราะเป็นทายาทและมรดก คสช. ครองตำแหน่งมาถึง 5 ปี และมี "บิ๊กในรัฐบาล" และขาใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐหนุนหลัง อาจทำเสียคะแนนคนรุ่นใหม่และหลายส่วนของสังคมที่ไม่ต้องการระบบสืบทอดอำนาจ แต่ต้องการความเปลี่ยนแปลง

นี่คือหนังตัวอย่างของเกมด้อยค่าเพื่อหวังเอาชนะทางการเมือง ที่ประชาชนจะเสียโอกาสที่จะได้เลือกคนที่มีความสามารถจริงๆ มารับใช้ชาวกรุงเทพฯ

ส่วนสนามการเมืองระดับชาติที่ยังห้ำหั่นทุกวิถีทางเพื่อเข้าสู่อำนาจ ไม่สนใจความถูกต้องชอบธรรม ก็มีแต่ทำให้ชาติเสียหายและประชาชนเสียโอกาส.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พ่อบงการ ลูกตามสั่ง

“พ่อบงการ ลูกตามสั่ง” ผ่าน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” คงไม่เกินเลยความเป็นจริง เพราะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ มีคำบัญชาผ่านเวทีต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ก็สนองนโยบายทันที โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลจะขาดความน่าเชื่อถือ และยำเกรงต่อกฎหมายมิให้คนนอกเข้ามาครอบงำแต่อย่างใด”.

ทักษิณไฟสุมขอน ‘รทสช.’ เขย่าบัลลังก์ ‘พีระพัง’

“สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” มอตโตขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนถึงปัจจุบัน จากพรรคน้องใหม่ตอนนี้ทำงานมากว่า 3 ปีแล้ว โดยการนำของ “ตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค กุมทัพ 36 สส.ในปัจจุบัน

“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง

ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา

“พ่อเลี้ยง”เปลี่ยนสนามรบเป็นทุน “ดับไฟใต้-สันติภาพเมียนมา”

“ฉายารัฐบาลพ่อเลี้ยง” นับเป็นภาพการเมืองในฝ่ายบริหารที่ “วิญญูชน” พึงประจักษ์ได้ว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขยับตัวและคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” วิทยากร-นักวิชาการของพรรคเพื่อไทย

สัญญาณชัด! ‘เทพไท’ ฟันฉับความขัดแย้งในรัฐบาล เกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วแน่นอน

เป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมือง ซึ่งมีจุดยืนและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน แต่กระโดดข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาลด้วยกัน

47 เก้าอี้นายกฯอบจ. บ้านใหญ่ ลุ้นเข้าวิน-กินเรียบ!

คิกออฟ นับหนึ่งตั้งแต่จันทร์ที่ 23 ธ.ค.ที่เป็นวันแรกของการรับสมัครบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนายกฯ อบจ. 47 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงที่ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ 76 จังหวัด