ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเมื่อวานนี้ ได้ให้ความเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ปี 66-70 โดยมุ่งให้ภาคใต้มีความสงบสุข เหตุการณ์ความรุนแรงยุติได้ในปี 70 และขจัดเงื่อนไขเก่าที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไป ตลอดจนเงื่อนไขใหม่ไม่เกิดขึ้น ตามการแถลงของ พลเอกคงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกฯ แถลง
เป็นไปตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศระหว่างเดินทางลงพื้นที่ยะลา-ปัตตานี ติดตามการแก้ปัญหาความยากจน โดยมุ่งเน้นการพัฒนา สร้างงาน พร้อมผลักดันชายแดนใต้เป็นเมืองผลไม้-เมืองปูทะเลโลก หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ลดระดับลง ประชาชนในพื้นที่เริ่มกล้าที่จะฉีดวัคซีน
ถือเป็นการเดินหน้าตามแผนที่รัฐได้วางไว้ หลังจากงานรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ในห้วงที่ผ่านมาพบสถิติการก่อเหตุและการสูญเสียน้อยลง จนกลายเป็นความมั่นใจว่า “คุมพื้นที่ได้”
แม้การก่อความไม่สงบในช่วงนี้จะถูกมองว่าเป็นเพียงการ “เอาคืน” ของ “โจรใต้” จากการที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดยุทธการ “ฮูแตยือลอ” ไล่ล่าแนวร่วม ขบวนการบีอาร์เอ็น และได้วิสามัญแนวร่วมและกองกำลังติดอาวุธได้หลายศพ
ตามมาด้วยการวิสามัญแนวร่วมที่ก่อเหตุยิงชาวไทยพุทธที่เข้าไปหาของป่าที่ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส นำไปสู่การมีชาวบ้านและญาติๆ ของผู้ถูกวิสามัญแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ในเรื่องการพิสูจน์ศพล่าช้า จนมีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น ก่อนที่จะจบลงด้วยการทำความเข้าใจกับแกนนำชาวบ้าน
หากดูตามหน้าสื่อแล้วก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับผู้ที่ติดตามสถานการณ์ เพราะ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ต้องแสดงตัวตนสร้างราคาไม่ให้บทบาทของกลุ่มหายไป เพื่อดึงมวลชนในพื้นที่เอาไว้ ไม่ให้ย้ายข้างไปเป็นมวลชนของฝ่ายรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่ในทางการข่าวแล้ว การปรากฏตัวของกลุ่มผู้ก่อเหตุที่ไม่มีประวัติอาชญากรรม หรือที่เรียกว่า “คนหน้าขาว” นั้นมีอยู่ในเกือบทุกพื้นที่ และกระจายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
นับเป็นสัญญาณที่ฝ่ายความมั่นคงเองก็รู้ดีว่า “ไม่น่าไว้วางใจ”
เพราะนั่นเท่ากับว่า การหายไปช่วงหนึ่งของกลุ่มผู้ก่อความสงบไม่ได้เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 หรือขบวนการอ่อนแอ และเปลี่ยนแนวหันไปเดินเกมยกระดับตัวเองสู่องค์กรสากล และเลิกใช้ความรุนแรง
แต่เป็นเพราะแกนนำได้เปลี่ยน “ยุทธวิธี” ใหม่ เพื่อบรรลุตามยุทธศาสตร์ที่ได้วางเป้าหมายไว้ แต่ครั้งนี้ได้ให้น้ำหนักทุกด้านไปพร้อมกัน ทั้งการเมือง การทหาร ศาสนา และต่างประเทศ
“คนหน้าขาว” ที่ออกปฏิบัติการยังคงเป็นส่วนของแกนนำกองกำลังที่ติดอาวุธ มีความฮึกเฮิมที่จะรับมือกับการปิดล้อม ตรวจค้นได้ยาวนาน ไม่ได้เกรงกลัวกับการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แม้แต่น้อย แสดงให้เห็นว่าการเติมคนรุ่นใหม่เข้าขบวนการมีความเข้มข้นทั้งด้านความคิดและทักษะทางทหาร
เมื่อดูความเคลื่อนไหวของ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ในห้วงที่ผ่านมาหลังเข้าสู่การรองรับของโอไอซี ในฐานะที่เป็นตัวแทนของกลุ่มมลายู แกนนำสามารถเข้าไปพูดใน “ยูเอ็น” ด้วยการยกแนวทางศาสนาเคียงคู่กับ “ปาเลสไตน์” มาแล้ว หลายฝ่ายจึงมองว่าการ “โกอินเตอร์” จะทำให้การก่อเหตุลดลง
แต่หน่วยข่าวความมั่นคงก็ยังเกาะติดความเคลื่อนไหว และพบข้อมูลว่า การเดินเกมของแกนนำใช้มาตรการหลักผสมกับมาตรการรอง นอกจากเดินหน้าเพื่อพูดคุยสันติภาพแล้ว ฝ่ายกองกำลังก็ยังเดินหน้าสร้างความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่บางกรณีถูกจำหน่ายเป็นเรื่องความขัดแย้งจากผลประโยชน์ส่วนตัว
ทั้งนี้ การสร้างกลุ่มหัวรุนแรงที่เป็นหน่วยกล้าตายทำได้ง่ายขึ้น ผ่านการปลุกระดมในแนวทาง “ซาฮีดออนไลน์” ไม่ต่างจากแนวคิดดั้งเดิมที่ปลูกฝังกันมาแต่อดีตที่เรียกกันว่า “ตายสิบเกิดแสน” แต่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่ายกว่า
ไม่เท่านั้นยังสร้างเครือข่ายแสวงหาแนวร่วมในกลุ่มเยาวชนส่วนกลาง ด้วยการเกาะเกี่ยวแนวคิด “ม็อบคณะราษฎร” ที่มีแนวคิด “เสรีนิยมประชาธิปไตย” ตามเป้าหมายที่เรียกว่า “RSD” หรือกลุ่มที่สามารถกำหนดใจตนเองได้ กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการแบ่งเขตปกครองพิเศษ ซึ่งหากอนาคตมีการเจรจาสันติภาพ และยกเรื่องการทำประชามติ มวลชนกลุ่มนี้ก็จะเป็นฐานสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของกลุ่ม PERMAS ที่ยกระดับตัวเองเป็นสมัชชาขนาดใหญ่ โดยมีองค์กรนานาชาติและต่างประเทศหนุนหลัง เปลี่ยนชื่อเป็น CAP ซึ่งถือเป็นแนวร่วมสำคัญในการทำหน้าที่ “โซ่ข้อกลาง” เชื่อมต่อการต่อสู้ทางยุทธศาสตร์
ขณะที่ “P.N.Y.S” ซึ่งเป็นเยาวชนที่เคยมีบทบาททางการเมือง และถูกจับตามองจากฝ่ายความมั่นคงในอดีตนั้น แกนนำและสมาชิกต่างแตกตัวเข้าสู่โครงสร้างรัฐ นั่ง อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในหลายพื้นที่
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ขณะนี้มีองค์กรระหว่างประเทศและมหาอำนาจเข้ามาแทรกซึมมาโดยตลอด
ยิ่งเห็นสัญญาณชัดกรณี “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่รัฐบาลต้องถอยไปตั้งหลักใหม่ เพราะนอกจากความลุกลี้ลุกลน และประเด็นไม่ชอบมาพากลที่เกิดจากการซื้อขายที่ดินในพื้นที่แล้ว ยังมีการปล่อยข้อมูลเรื่อง “ทุนจีน” ยิ่งทำให้เห็นการเข้ามาแหย่ขาของเหล่าบรรดาองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะเอ็นจีโอ สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่จ้องตาเป็นมันตั้งแต่ 3-4 ปีที่ผ่านมา ในกรณีม็อบโรงไฟฟ้าเทพา
แม้รัฐจะไม่ให้ราคา “บีอาร์เอ็น” ไม่ยกให้เป็นขบวนการที่น่ากลัว แต่ในความเป็นจริงขบวนการดังกล่าวยังดำรง “ยุทธศาสตร์” ตามเป้าหมายเดิมที่มีมาอย่างต่อเนื่องจากชุดข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ตกทอดกันมา ส่งผลให้ “ไฟใต้” ยังคงไม่ดับมอดลงไปด้วยการพัฒนา ตามความหวังของรัฐบาลจะลดเงื่อนไขทุกอย่างให้เหลือศูนย์ก็ตาม
การประคับประคองไม่ให้การก่อเหตุส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ คงยังเป็นงานประจำที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องรับมือต่อไป โดยยังไม่เห็นจุดพลิกผันให้สถานการณ์ยุติลงได้อย่างเบ็ดเสร็จ
คงได้แต่รอลุ้นว่า “ไฟใต้จะดับมอด” ลงตาม “เดดไลน์” ที่รัฐตั้งใจให้จบในปี 70 หรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ติดสลักกม.ประชามติ รธน.ใหม่ส่อลากยาว
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรียบร้อย โดยให้ยึดเสียงข้างมาก 2 ชั้น กล่าวคือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด และ 2.ต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ์
ชนักติดหลัง-หอกดาบ ที่ค้างอยู่ของ"ทักษิณ"
แน่นอนว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องถอนหายใจโล่งอก ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะ ผู้ถูกร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง-ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ "คดีล้มล้างการปกครอง" ที่ศาล รธน.มีมติยกคำร้องไปเมื่อ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา
'ชินวัตร' ตีปีกดันรัฐบาลครบเทอม วิบากกรรมไล่ล่า 'ชั้น14' หลอกหลอน
ดูจากมติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
แจกเฟส 2 หวังผลการเมือง ส่อผิดกฎหมายหลายกระทง?
ปี่กลองอึกทึกครึกโครม ในสนามเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงงัดไม้เด็ดเดิมพันให้ได้คว้าชัยชนะ เพื่อเป็นอีกก้าวปูทางไปสู่สนามการเลือกตั้งใหญ่
ปักธง1ภาค1เก้าอี้นายกอบจ. ส้มเก็บชัยหรือระเนระนาด
นับถอยหลังสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ระหว่าง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน และนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
จับตาคลอดโผแต่งตั้ง“นายพลใหญ่” ตำรวจคนสนิทฝั่งรัฐบาลพรึบยกแผง
จับตาบ่ายวันนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายล็อตแรก “นายพลใหญ่” ระดับรอง ผบ.ตร. จเรตำรวจ-ผบช. ที่นายกฯ อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นัดประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 10/2567 เพื่อพิจารณาบัญชีรายชื่อ “พล.ต.อ.-พล.ต.ท.” วาระประจำปี 2567