ตลอดสัปดาห์นี้ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจะโกอินเตอร์ไปราชการต่างประเทศเป็นครั้งแรก หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เวทีแรกที่จะไปก็คือ “การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (78th Session of the United Nations General Assembly: UNGA78) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 18-24 กันยายน 2566”
โดยเศรษฐาจะได้พบหารือกับผู้นำต่างประเทศ ผู้นำองค์การระหว่างประเทศ บุคคลสำคัญ เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งผ่านกรอบทวิภาคีและพหุภาคี
ที่น่าสนใจ และหลายคนคงเฝ้ารอติดตาม โดยเฉพาะกองเชียร์รัฐบาลเพื่อไทย ก็คือการที่เศรษฐาจะได้มีโอกาสถ่ายรูป-เชคแฮนด์กับผู้นำคนสำคัญๆ ของโลก ที่จะไปร่วมเวทีดังกล่าว โดยเฉพาะ ผู้นำประเทศมหาอำนาจ เช่น โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ก่อนหน้านี้ นางกาญจนา ภัทรโชค โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุถึงเรื่องนี้ว่า
“นายกรัฐมนตรีจะได้พบกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐนั้น จะเป็นการพบปะกันในงานเลี้ยงรับรองผู้นำ ซึ่งคงมีโอกาสพูดคุยกันในตอนนั้น ส่วนจะมีการหารือทวิภาคีระหว่างผู้นำไทยกับสหรัฐหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาอีกครั้ง เพราะผู้นำทุกประเทศต้องการหารือกับผู้นำสหรัฐเช่นกัน”
แน่นอนว่า การปรากฏตัวของเศรษฐาในเวทียูเอ็น คงเป็นที่สนใจของต่างชาติไม่มากก็น้อย หลังที่ผ่านมาประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มายาวนานร่วม 9 ปี
เบื้องต้น ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเดินทางไปสหรัฐในครั้งนี้ของเศรษฐาและคณะ นอกจากจะได้พบกับผู้นำและบุคคลสำคัญต่างๆ แล้ว ตัวนายกรัฐมนตรี มีกำหนดการที่เกี่ยวข้องกับองค์การสหประชาชาติ อาทิ การกล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไประหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ-การหารือกับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ของต่างประเทศ-หารือกับผู้บริหารสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกาและอาเซียน รวมถึงหอการค้าสหรัฐอเมริกา ที่จะมีบริษัทเอกชนมาร่วมจำนวนมาก
และจบจากภารกิจที่สหรัฐต้นเดือนหน้า นายกรัฐมนตรีมีคิวจะเดินทางไปอีกหนึ่งประเทศมหาอำนาจ นั่นก็คือ จีน ซึ่งจะเดินทางไปวันที่ 8-10 ต.ค.นี้ โดยนายกฯ ระบุว่า “ความสัมพันธ์กับประเทศจีน ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง”
ทิศทางการนำพาประเทศไทยให้รักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามหลัก “ทฤษฎีดุลอำนาจ” (Balance of Power) โดยเฉพาะกับ 2 มหาอำนาจของโลก
สหรัฐ-จีน
ของเศรษฐา และปานปรีย์ พหิทธานุกร รมว.ต่างประเทศ หลังจากนี้จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง
“นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการ รมว.ต่างประเทศ” (ดอน ปรมัตถ์วินัย) ให้มุมมองถึงเรื่องการรักษาสมดุลอำนาจของไทยกับ 2 มหาอำนาจของโลก สหรัฐ-จีน โดยกล่าวถึงการที่เศรษฐา-นายกฯ จะได้คุยกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่าการประชุมรอบนี้ ระหว่างการประชุมจะมีการประชุม 2 ฝ่ายคือ อาเซียนกับสหรัฐ รวมถึงการประชุมแบบทวิภาคี ไทยกับสหรัฐ ทำให้นายเศรษฐาคงได้เจอกับนายโจ ไบเดน แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คือ ตอนนี้ปัญหาความขัดแย้งตรงพื้นที่ทะเลจีนใต้ ระหว่างจีนกับสมาชิกอาเซียนบางประเทศ หรือกับสหรัฐเอง ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เรื่องนี้ก็อาจหยิบยกขึ้นมาได้ว่าเราจะช่วยกันอย่างไรไม่ให้สถานการณ์มันรุนแรงหรือเลวร้ายมากไปกว่านี้ ไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า
“นันทิวัฒน์” ย้ำว่า การที่นายกฯ จะไปเยือนจีน ระหว่าง 8-10 ต.ค. เรื่องการรักษาสมดุลอำนาจของไทยกับ 2 ประเทศมหาอำนาจของโลก คือสหรัฐกับจีน เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องรักษาดุลอำนาจนี้ไว้ให้ได้ เราต้องไม่ไปเทกไซด์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ในความขัดแย้งระหว่างคู่มหาอำนาจ เพราะเรามีผลประโยชน์ร่วมกันกับทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งในเรื่องการค้า การลงทุน ความมั่นคง เพราะอย่างจีนกับไทย ความสัมพันธ์ดีต่อกันมาก
อย่างไรก็ตาม ในการไปประชุมครั้งนี้ เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยพยายามติดต่อ ให้เศรษฐาได้พบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ ฟรังก์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมนี ที่จะไปร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เพื่อขอคุยเรื่องการแก้ปัญหาเครื่องยนต์ในเรือดำน้ำ S26T ของจีน ซึ่งกองทัพเรือไทยซื้อจากจีน แต่ในสัญญาการซื้อขายระบุว่า ต้องใช้เครื่องยนต์เยอรมนีรุ่น MTU369 แต่ต่อมา รัฐบาลเยอรมนีมีนโยบายไม่ขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้จีน ส่งผลให้เรือดำน้ำที่กองทัพเรือไทยสั่งซื้อจากจีนไม่มีเครื่องยนต์มาติดตั้ง
ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการคอนเฟิร์มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า นายกรัฐมนตรีของไทยจะได้พบกับผู้นำของเยอรมนีในเวทีประชุมยูเอ็นประจำปีครั้งนี้หรือไม่ เพราะเมื่อ 16 ก.ย. เศรษฐา ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังถูกถามถึงเรื่องจะได้คุยกับประธานาธิบดีเยอรมนีหรือไม่
“ยังไม่มีรายงานมาจากทางกระทรวงการต่างประเทศ ขอเวลานิดหนึ่ง ยังมีเวลาอยู่ ตอนนี้ตารางแน่นมาก พยายามเกลี่ยกันไปเกลี่ยกันมา ระหว่างเดินทางก็จะมีการเจรจา มีการขอนัดพบกันอยู่ อะไรที่เป็นเรื่องเก่าและยังไม่ถูกสะสางก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องช่วยสะสางกันไป เพราะถือเป็นโครงการต่อเนื่องมา ต้องทำให้สำเร็จ”
อย่างไรก็ตาม เรื่องการที่ รัฐบาลไทยจะขอให้เยอรมนีปลดล็อกนโยบายไม่ขายเครื่องยนต์ให้เรือดำน้ำจีน หลายภาคส่วน ก็มองว่า อาจจะยากพอสมควร เพราะมีการมองกันว่า ท่าทีของเยอรมนีดังกล่าวเป็นเพราะถูกกดดันจากสหรัฐอเมริกา ที่งัดข้อกับจีนมาตลอดเพื่อแข่งกันเป็นมหาอำนาจของโลก จนหลายประเทศในยุโรปเลยบอยคอตจีนในเรื่องการซื้อขายอุปกรณ์-เครื่องยนต์ต่างๆ ที่จะนำไปใช้เป็นอาวุธสงครามได้
จนสุดท้าย China Shipbuding & Offshore International Co. Ltd. หรือ CSOC บริษัทต่อเรือของจีนที่ได้รับมอบอำนาจจากหน่วยงานของรัฐบาลในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและส่งออกอาวุธ ที่ขายเรือดำน้ำจีนให้กับไทย ก็ไม่สามารถหาเครื่องยนต์ MTU 396 มาติดตั้งได้ตามข้อตกลง แม้ CSOC จะใช้ความพยายามทั้งการเจรจากับบริษัท MTU ของเยอรมนี ผ่านช่องทางระดับผู้บริหารบริษัทต่อบริษัท-รัฐบาล-รัฐบาล และช่องทางทางการทูต แต่ก็ล้มเหลวหมด จนต้องเสนอให้ติดตั้งเครื่องยนต์ รุ่น CHD 620 ของจีน ให้กองทัพเรือพิจารณาแทน
ดังนั้นหากสุดท้ายรัฐบาลเศรษฐา โดยเฉพาะตัวเศรษฐาสามารถเจรจาพูดคุยกับผู้นำประเทศเยอรมนีเพื่อหาทางออกเรื่องนี้ได้ จนบริษัทของเยอรมนียอมขายเครื่องยนต์ให้กับจีน นักวิชาการบางคนถึงกับบอกว่าจะเป็นผลงานชิ้น โบแดง ของรัฐบาลชุดนี้ และแน่นอนว่า เศรษฐาจะได้เครดิตจากรัฐบาลจีนไปเต็มๆ
เช่นความเห็นของ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์พิเศษ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย- นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เสนอทางออกเรื่องนี้ว่า ทางเลือกหนึ่งก็คือกลับไปเจรจาต่อรองกับเยอรมนี ซึ่งรัฐบาลใหม่ก็น่าจะมีโอกาสดีกว่าเดิม โดยดึงเอาเครื่องยนต์เยอรมนีกลับมา ถ้าทำได้ โดยหากฟาสแทร็กไป ก็จะเป็นผลงานชิ้นโบแดง เพราะเยอรมนีเป็นประเทศที่มีความใกล้ชิดกับไทยมาก ไม่ต้องพูดถึงระดับบนสุด ระดับกลาง ระดับล่างก็มี มีคนไทยในเยอรมนีมากที่สุดหลายหมื่นคน แล้วความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ก็ดีมาโดยตลอด หากจะคุยกันจริงๆ ก็ยังคุยกันได้ หาก รมว.กลาโหมมีคนเก่งๆ ไปเจรจา
ผลการไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งนี้ของเศรษฐาและคณะ เมื่อเดินทางกลับมาจะมีการแถลงผลอย่างเป็นทางการ รอดูกันว่าการไปโชว์ตัวในเวทีระดับโลกของเศรษฐาจะมีฟีดแบ็กต่างๆ กลับมาอย่างไร.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
47 เก้าอี้นายกฯอบจ. บ้านใหญ่ ลุ้นเข้าวิน-กินเรียบ!
คิกออฟ นับหนึ่งตั้งแต่จันทร์ที่ 23 ธ.ค.ที่เป็นวันแรกของการรับสมัครบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนายกฯ อบจ. 47 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงที่ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ 76 จังหวัด
‘แม้ว’ ไล่ทุบ- ‘ภูมิใจไทย’ ไม่หมู ‘แดง-น้ำเงิน’ ทนอยู่แบบตบจูบ
นาทีนี้ศึกฝ่ายค้าน-รัฐบาลยังไม่เดือดเท่ากับศึกรัฐบาลด้วยกันเอง แรงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการขบเหลี่ยมของพรรคอันดับ 1 และพรรคอันดับ 2
ขวากหนามแก้รัฐธรรมนูญ คนกันเอง...เล่นเกมต่อรอง
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นชอบกับ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับคณะ กมธ.ร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้ว
'ทักษิณ'พังการเมืองท้องถิ่น กระหายอำนาจ ไม่สนขัดแย้ง
“นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เจ้าของพรรคเพื่อไทย ต้องการฟื้นคืนชีพระบอบทักษิณโดยไม่สนใจบทเรียนในอดีต จนตัวเองและน้องสาวต้องหนีออกนอกประเทศ รวมถึงบริวารต้องติดคุกแทน
คดีป่วยทิพย์ชั้น14ในมือ‘ป.ป.ช.’ ‘รอด-ร่วง’สะเทือนการเมือง
เป็นอีกหนึ่งคดีที่ท้าทายสำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังมีมติแต่งตั้ง องค์คณะไต่สวน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคน เพื่อตรวจสอบกรณีกล่าวหานายสหการณ์
นับถอยหลัง 2567 5 ฉากร้อนการเมืองไทย
นับถอยหลังต่อจากนี้ ก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 สัปดาห์ ก็เข้าสู่ช่วง “นับถอยหลังอำลา 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568” กันแล้ว